สวัสดี ความคิดสร้างสรรค์
หลังจากที่เราไม่ได้เจอกันนาน หวังว่าคงสบายดีนะ
ขอโทษที่อยู่ ๆ เราก็หายไป โดยไม่บอกไม่กล่าว
พอดี อยากใช้ชีวิตอยู่กับตัวตนของตัวเอง
ได้อยู่กับตัวเองแล้วก็ได้เรียนรู้จักตัวเองขึ้นมาก
รู้จักที่จะผ่านพ้นอะไรไปได้ด้วยตัวเอง
ไม่หวังพึ่งพา สิ่งแวดล้อมจนเกินไป
ชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้แหละ "ไม่สำเร็จรูปเหมือนบะหมี่ หรอก"
แต่ถ้าดูให้ดี การปรุงชีวิตก็สนุกกว่าการ ทำบะหมี่ นะ
มีอะไรให้ใส่เข้าไปมากกว่า ผงปรุงรส สองสามซอง ที่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมี
แต่สิ่งหนึ่งที่ ชีวิต กับ บะหมี่ เหมือนกัน คือ
เมื่อบะหมี่ โดนน้ำร้อนเข้าไป ก็ จะมีการเปลี่ยนสถานะ ทำให้คนบริโภคได้
ชีวิตก็เช่นกัน เมื่อเจออะไร ร้อน ๆ หรือ ปัญหา ก็จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป
บางคนเจอปัญหา ไม่รู้จะแก้ยังไง ก็หาทางออกผิด ๆ
ต่างจากบางคน ที่มองว่า ปัญหาคือ โอกาส ที่จะพัฒนาชีวิตให้เข้มแข็ง
ก็นั่นแหละ นะ สิ่งเหล่านี้แหละ ไม่ว่าจะดี หรือ ร้าย ก็ล้วน
หลอมรวมกัน เป็นคำว่า "ชีวิต" ไงละ
เราว่า "ชีวิต" มันมีเสน่ห์ ก็ตรงที่ ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
เลยทำให้เราต้องเรียนรู้ที่จะผ่านอะไร ๆ ไปให้ได้อย่างตื่นเต้น
วันนี้ตั้งใจว่า จะกลับมามีความสัมพันธ์กับเธออีกครั้ง
แต่ก็สัญญาไม่ได้ว่า จะไม่หายไปอีก
เพราะเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร
ชีวิตมันก็ ตื่นเต้นอย่างนี้แหละ
เธอรู้สึกตื่นเต้นเหมือนฉันไหม "ความคิดสร้างสรรค์"
วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ดีใจจัง...
วันนี้มีเรื่องราวดี ๆ ให้ได้ดีใจ...
เมื่อพบว่างานที่ส่งเข้าประกวด ใน write shot story award 2552
ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนี่งในเรื่องสั้นที่ถูกคัดสรรค์ จากบรรณาธิการ
เลยอยากเอาเรื่องนี้มาแบ่งกันอ่ะนะครับ ตามลิงค์นี้เลย
ชื่อเรื่อง "ทุ่งเปลี่ยนสี" อยู่หน้า 36-37 นะคร้าบบบบบ...
http://issuu.com/thai_writer_magazine/docs/wassa_03
มีคำติชม ยังไง ก็ บอกได้นะครับ ...
:D
เมื่อพบว่างานที่ส่งเข้าประกวด ใน write shot story award 2552
ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนี่งในเรื่องสั้นที่ถูกคัดสรรค์ จากบรรณาธิการ
เลยอยากเอาเรื่องนี้มาแบ่งกันอ่ะนะครับ ตามลิงค์นี้เลย
ชื่อเรื่อง "ทุ่งเปลี่ยนสี" อยู่หน้า 36-37 นะคร้าบบบบบ...
http://issuu.com/thai_writer_magazine/docs/wassa_03
มีคำติชม ยังไง ก็ บอกได้นะครับ ...
:D
วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ชีวิต...
เมื่อชีวิตเจ็บปวด ยวดยิ่ง
หมดซึ่งสิ่งได้สร้าง สรรหา
จักสู้ หรือ หยุด ชีวา
ใครเล่าประจักษ์ รู้ได้
กลิ่นมรณาเยี่ยม เยือนกาย
ปัดป้อง ฤ ขัด ไป่ รู้
สัจธรรมแจ้งเห็น ในตน
ชีวิตคนไร้ซึ่ง เที่ยงแท้
หมดซึ่งสิ่งได้สร้าง สรรหา
จักสู้ หรือ หยุด ชีวา
ใครเล่าประจักษ์ รู้ได้
กลิ่นมรณาเยี่ยม เยือนกาย
ปัดป้อง ฤ ขัด ไป่ รู้
สัจธรรมแจ้งเห็น ในตน
ชีวิตคนไร้ซึ่ง เที่ยงแท้
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552
บันทึก...
เมื่อเดินมาถึงทางแยก ไม่มีทางปฏิเสธที่จะต้องเลือก
ถ้าคุณตัดการใช้เวลากับสิ่งไร้สาระ คุณจะมีเวลาทำในสิ่งมีสาระ มากขึ้น
มันจะช้า ถ้าต้องรอ คอย ...
ไม่มีเรา เขาก็อยู่กันได้ จงปล่อยวาง ซะบ้าง
ถ้าเหนื่อย เครียด เศร้า ฯลฯ ลองหา ไอติม กินซักแท่ง เด๋วก็ดีขึ้นเอง
อย่าโกหก เพราะการ โกหก เป็นทางออกที่ โง่ มาก
บางที การอยู่กับความเหงา ก็ เข้าท่า ดีเหมือนกัน
ยิ่งเดินมาเหนื่อย จุดหมายยิ่งมีคุณค่า
ถ้ากดดันมาก ๆ ก็หาที่เงียบ ๆ แหกปาก เพื่อระบายซักหน่อย
เมื่อเจอของดีที่สุด เราจะยอมทิ้งสิ่งที่ดีระหว่างทาง
แม้เป็นสิ่งเก่า ถ้าหากมองในมุมมองใหม่ ก็มักจะได้อะไรใหม่ ๆ เสมอ
มันก็แค่ วัน ห่วย ห่วย วันหนึ่งเท่านั้น...เดี๋ยว ก็ผ่านไป
ไม่ใช่สมองที่จะเข้าใจว่า 1+1 = 1 หากแต่เป็นหัวใจ
1 มื้อที่ฟุ่มเฟือย เท่ากับ ส่วนหนึ่งของชีวิต ที่อดอยาก
คุณอาจได้มาซึ่งชัยชนะ แต่ คุณจะสูญเสียความสัมพันธ์ที่ดี
ความคุ้นเคย ไม่ได้ ลดทอน ความกลัวเสมอไป
จินตนาการ ลดทอนความเครียด ทางตรรก ได้
อย่ากด เมม เบอร์โทรศัพท์ ขณะที่คุยโทรศัพท์ เพราะเสียงมันจะน่ารำคาญสำหรับคู่สนทนา ...
อย่าใช้บริการ รอ สาย เพราะไม่มีเหตุผลที่ดีพอ ที่จะให้อีกคนต้องมารอ เมื่อคุณคุยกับอีก คนหนึ่ง
เมื่อใบไม้ ร่วงหล่น มันจะผลิใบอ่อน มาเพื่อดำรง ชีวิตต่อไปเสมอ
การพิมพ์ "555+" ในการ แชท สันนิฐานว่า มันต้องมาจากความผิดพลาด ก่อน แน่ ๆ
เคยไหม เมื่อนึกถึงความหลัง แล้ว "อมยิ้ม" กับมัน
วิธี "คิด" มีผลต่อการใช้ชีวิต ของคน
มาตรฐานของคำว่า "คุณค่า" แตกต่างกันไป ตามการให้ "ความสำคัญ"
มีร้อยวิธีคิด แต่มี เพียงหนึ่งวิธี ที่จะเลือกปฏิบัติ ในแต่ละครั้ง
เมื่อวาน เป็น อดีต ของ มะรืน แต่วันนี้ เป็นอดีตของ พรุ่งนี้
ศรัทธา เป็นแรงผลัก เพื่อไปถึง "ความหวัง"
มีข้อแตกต่างระหว่าง "ไม่ทำบาป" และ "ไม่มีโอกาสทำบาป"
อย่าให้ "อายุ" ลดทอนความเป็น "เด็ก" ในตัวคุณ
"ความรัก" เป็น แท่นชาร์ต แห่ง "ชีวิต"
เดินคนเดียว อาจจะ โดดเดี่ยว แต่ ก็มีเวลาที่จะมองความงดงาม ริมทาง
ความเคยชิน เป็นยาขม แห่ง อคติ
ไม่มีแมวตัวไหนใส่แว่น เพราะมันไม่สนใจในสิ่งที่สายตามองเห็น
สัญชาติญาณ เกิดมาจาก ความจำเป็นในการอยู่รอด
...
มีสองเหตุผลของคนอ่าน บทความนี้ หนึ่ง "ให้ความสำคัญ" สอง "ว่างมาก"
ถ้าคุณตัดการใช้เวลากับสิ่งไร้สาระ คุณจะมีเวลาทำในสิ่งมีสาระ มากขึ้น
มันจะช้า ถ้าต้องรอ คอย ...
ไม่มีเรา เขาก็อยู่กันได้ จงปล่อยวาง ซะบ้าง
ถ้าเหนื่อย เครียด เศร้า ฯลฯ ลองหา ไอติม กินซักแท่ง เด๋วก็ดีขึ้นเอง
อย่าโกหก เพราะการ โกหก เป็นทางออกที่ โง่ มาก
บางที การอยู่กับความเหงา ก็ เข้าท่า ดีเหมือนกัน
ยิ่งเดินมาเหนื่อย จุดหมายยิ่งมีคุณค่า
ถ้ากดดันมาก ๆ ก็หาที่เงียบ ๆ แหกปาก เพื่อระบายซักหน่อย
เมื่อเจอของดีที่สุด เราจะยอมทิ้งสิ่งที่ดีระหว่างทาง
แม้เป็นสิ่งเก่า ถ้าหากมองในมุมมองใหม่ ก็มักจะได้อะไรใหม่ ๆ เสมอ
มันก็แค่ วัน ห่วย ห่วย วันหนึ่งเท่านั้น...เดี๋ยว ก็ผ่านไป
ไม่ใช่สมองที่จะเข้าใจว่า 1+1 = 1 หากแต่เป็นหัวใจ
1 มื้อที่ฟุ่มเฟือย เท่ากับ ส่วนหนึ่งของชีวิต ที่อดอยาก
คุณอาจได้มาซึ่งชัยชนะ แต่ คุณจะสูญเสียความสัมพันธ์ที่ดี
ความคุ้นเคย ไม่ได้ ลดทอน ความกลัวเสมอไป
จินตนาการ ลดทอนความเครียด ทางตรรก ได้
อย่ากด เมม เบอร์โทรศัพท์ ขณะที่คุยโทรศัพท์ เพราะเสียงมันจะน่ารำคาญสำหรับคู่สนทนา ...
อย่าใช้บริการ รอ สาย เพราะไม่มีเหตุผลที่ดีพอ ที่จะให้อีกคนต้องมารอ เมื่อคุณคุยกับอีก คนหนึ่ง
เมื่อใบไม้ ร่วงหล่น มันจะผลิใบอ่อน มาเพื่อดำรง ชีวิตต่อไปเสมอ
การพิมพ์ "555+" ในการ แชท สันนิฐานว่า มันต้องมาจากความผิดพลาด ก่อน แน่ ๆ
เคยไหม เมื่อนึกถึงความหลัง แล้ว "อมยิ้ม" กับมัน
วิธี "คิด" มีผลต่อการใช้ชีวิต ของคน
มาตรฐานของคำว่า "คุณค่า" แตกต่างกันไป ตามการให้ "ความสำคัญ"
มีร้อยวิธีคิด แต่มี เพียงหนึ่งวิธี ที่จะเลือกปฏิบัติ ในแต่ละครั้ง
เมื่อวาน เป็น อดีต ของ มะรืน แต่วันนี้ เป็นอดีตของ พรุ่งนี้
ศรัทธา เป็นแรงผลัก เพื่อไปถึง "ความหวัง"
มีข้อแตกต่างระหว่าง "ไม่ทำบาป" และ "ไม่มีโอกาสทำบาป"
อย่าให้ "อายุ" ลดทอนความเป็น "เด็ก" ในตัวคุณ
"ความรัก" เป็น แท่นชาร์ต แห่ง "ชีวิต"
เดินคนเดียว อาจจะ โดดเดี่ยว แต่ ก็มีเวลาที่จะมองความงดงาม ริมทาง
ความเคยชิน เป็นยาขม แห่ง อคติ
ไม่มีแมวตัวไหนใส่แว่น เพราะมันไม่สนใจในสิ่งที่สายตามองเห็น
สัญชาติญาณ เกิดมาจาก ความจำเป็นในการอยู่รอด
...
มีสองเหตุผลของคนอ่าน บทความนี้ หนึ่ง "ให้ความสำคัญ" สอง "ว่างมาก"
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552
"ห้วงภวังค์..."
ฝนหยดแรกตกกระทบผืนป่า ภูเขาใหญ่น้อยรายเรียงโอบรอบซึ่งกันและกัน เสียงฟ้าร้องสนั่นทั่วแผ่นฟ้า นั่งเพียงลำพัง บางครั้งการอยู่คนเดียวก็ดีกว่าอยู่หลายคน น้ำฝนที่แทรกซึมผ่านผืนดินขับไล่ความร้อนระอุของอุณหภูมิเมื่อตอนกลางวันกลายเป็นไอระเหยขึ้นสู่เบื้องบน แล้วก็หายวับไปจากศักยภาพการมองเห็น
ผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านไป ภาพตัดกับไอฝน และละอองน้ำที่ติดกับแว่นทำให้มองได้ไม่ชัด หากมีเทคโนโลยีความเร็วสูง ผมอยากใช้มันในการเคลื่อนที่เข้าไปใกล้เธอให้มากกว่านี้เพื่อให้รู้ว่าเธอเป็นใคร แต่คนเราก็มักเป็นเช่นนี้เสมอ บางครั้งสิ่งที่มีก็มักไม่ได้ใช้ แต่เมื่อขาดหายไปมักจะโหยหา
นั่งนิ่งอยู่เนิ่นนาน อยู่ในภวังค์ความคิด
สายฝนหยุดไปแล้ว แต่ความคิดฟุ้งซ่านยังคงหยาดหยดไม่ขาดสายในสมองของผม ดอกไม้บานกลางแดดกล้ายามสายฝนพัดผ่าน แต่คราบความชุ่มชื้นก็ยังคงสะท้อนเงาแห่งอดีตให้เตือนความทรงจำถึงสิ่งที่ผ่านพ้น ผมเรียกร้องสิทธิความเป็นคนมาโดยตลอดแต่หามีใครที่ให้คำตอบกับผมอย่างแน่ชัด ผู้คนโหยหาสิทธิของตนโดยยังไม่รู้ถึงของเขตที่ตนพึงได้รับด้วยซ้ำ บางที่คนเราก็ไม่ได้ต่างไปกับรองเท้าคู่หนึ่งที่ถูกเหยียบย่ำเพียงเพราะใครคนหนึ่งไม่ต้องการให้ตนเจ็บปวดในบางส่วนของชีวิต เสียงเด็กร้อง ภาพผู้คนหิวโหย คนชรา ไร้โอกาส ไร้ที่พึ่ง ใครเล่าจะล่วงรู้เหตุผลของพวกเขา พวกเขาคงไม่เข้าใจความหมายของชีวิต และไม่สนคุณค่าของสิทธิมากไปกว่าอาหารซักหนึ่งมื้อ “มีบางอย่างที่แตกต่างระหว่างสองสิ่ง เพียงเพราะแค่สิ่งสมมติที่มนุษย์กำหนดขึ้น” บางครั้งเราให้คุณค่าของสิ่งสมมติมากกว่าคุณค่าของจิตใจด้วยซ้ำนั่นคือ ”ความไม่เท่าเทียม”
ด้วย อีโก้ ผมจึงจากเมืองใหญ่มาอาศัยยังถิ่นห่างไกลสิ่งสมมติทั้งหลาย ผมไม่ชอบการใส่หน้ากากผมเลือกที่จะเดินไปยังจุดหมายแห่งอุดมการณ์มากกว่าหยุดนิ่งกับความสำเร็จที่จอมปลอม การเดินของผมเต็มเป็นไปโดยความหวัง ผมโหยหาบางอย่าง บางอย่างที่หลายคนบอกปัดเมื่อห้วงจิตสำนึกเฝ้าร้องฟ้องผิด ผมไม่สามารถทนได้ ผมโหยหากระหายที่จะไปถึงที่นั่น วันหนึ่งมันจะงดงามเหมือนต้นไม้ที่ออกดอกผล จะรอวันนั้นแม้ว่าต้องฟันฝ่าความเย็นชา ต่อสู้กับสิ่งที่อยู่เหนือความคิด “สติสยบความวุ่นวายเสมอ”
ผมนั่งปลดปล่อยความคิดออกไปไร้ขอบเขต...
พยายามปฏิเสธทุกอย่างที่ถ่วงรั้งจากอุดมการณ์นั้น โลกยังคงหมุนไปแต่ทว่าผมกลับอยากหยุดนิ่ง เสียงจากภวังค์ความคิด “ฉันรู้สึกเฉย ๆ” ใครคนหนึ่งพูดไว้ ใช่มันงดงามไม่มีที่ติ เธอไม่เคยผิดเลย หลายคนไม่กล้าเอื้อนเอ่ย บทสนทนาของเราในครั้งเก่าก่อน
“มนุษย์ย่อมมีสองด้าน”
“ไม่ ทุกอย่างล้วนมีสองด้าน”
“คิดอย่างนั้นจริงหรือ?”
“ใช่” มันดูง่ายแต่จริงใจ
“เดินหลายคนไม่เหนื่อย จริงหรือ?”
“ฉันเคยเดินคนเดียวแต่ไม่รู้สึกเหนื่อย กลับรู้สึกถึงความงดงาม”
“ไอ่ อ้วน !” เธอสบถ
“ฉันทำเต็มที่แล้ว” ...
แม้ไม่อยากมอง เราก็ยังคงเห็นอดีตเสมอ แม้มันจะหายไป แต่นั่นคือ “ชั่วคราว” หาใช่ “นิรันดร์กาล” เพียงเป็นฉัน เพราะ...
ไร้คำตอบใด ๆ แม้ความเงียบงันก็ไร้ความหมายใด
หนึ่งคนนั้นที่ผ่านไปได้กลับมา ไม่มีสายฝนไม่มีสิ่งขวางกั้นศักยภาพการมอง เป็นเธอ แต่ยิ้มหายไปจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อมีชายสองหญิงหนึ่ง หลีกไม่พ้นการสูญเสีย
ฉันนั่งเพียงลำพัง...
ใบไม้ร่วงหล่น อีกฤดูมาเยือน ไม่มีการเหลียวมอง ไม่มีการแก้ไข เมื่อผ่านแล้วย่อมผ่านเลยเพราะฉะนั้นจงทำวันนี้ ให้เต็มที่ คิดก่อนกระทำ ฤดูหนึ่งบดบังฤดูหนึ่ง บดบังแม้ความทรงจำเดิม ๆ จึงทำให้ไม่เห็นเธอ รวมทั้งเธอผู้ผ่านมาก็ลาลับหายไป ดอกไม้กลับมาบานสะพรั่งอีกครั้ง กลับกลายจากเปลี่ยวเหงาเป็นชีวิตใหม่ น่าเชยชมยิ่งนัก ดอกไม้เมื่อยามแรกแย้ม
พลบค่ำเริ่มมาเยือน หรีดเรไรขับขานแซงแซ่ บางอย่างตกลงมาจากต้นไม้ เป็นของที่ตกหรือว่ามันถูกทิ้งอย่างไม่เหลียวมอง บางสิ่งไม่อยากเจอ และแล้วก็ต้องเจอ
ความเงียบเหงามาเยี่ยมอีกครา...
ผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านไป ภาพตัดกับไอฝน และละอองน้ำที่ติดกับแว่นทำให้มองได้ไม่ชัด หากมีเทคโนโลยีความเร็วสูง ผมอยากใช้มันในการเคลื่อนที่เข้าไปใกล้เธอให้มากกว่านี้เพื่อให้รู้ว่าเธอเป็นใคร แต่คนเราก็มักเป็นเช่นนี้เสมอ บางครั้งสิ่งที่มีก็มักไม่ได้ใช้ แต่เมื่อขาดหายไปมักจะโหยหา
นั่งนิ่งอยู่เนิ่นนาน อยู่ในภวังค์ความคิด
สายฝนหยุดไปแล้ว แต่ความคิดฟุ้งซ่านยังคงหยาดหยดไม่ขาดสายในสมองของผม ดอกไม้บานกลางแดดกล้ายามสายฝนพัดผ่าน แต่คราบความชุ่มชื้นก็ยังคงสะท้อนเงาแห่งอดีตให้เตือนความทรงจำถึงสิ่งที่ผ่านพ้น ผมเรียกร้องสิทธิความเป็นคนมาโดยตลอดแต่หามีใครที่ให้คำตอบกับผมอย่างแน่ชัด ผู้คนโหยหาสิทธิของตนโดยยังไม่รู้ถึงของเขตที่ตนพึงได้รับด้วยซ้ำ บางที่คนเราก็ไม่ได้ต่างไปกับรองเท้าคู่หนึ่งที่ถูกเหยียบย่ำเพียงเพราะใครคนหนึ่งไม่ต้องการให้ตนเจ็บปวดในบางส่วนของชีวิต เสียงเด็กร้อง ภาพผู้คนหิวโหย คนชรา ไร้โอกาส ไร้ที่พึ่ง ใครเล่าจะล่วงรู้เหตุผลของพวกเขา พวกเขาคงไม่เข้าใจความหมายของชีวิต และไม่สนคุณค่าของสิทธิมากไปกว่าอาหารซักหนึ่งมื้อ “มีบางอย่างที่แตกต่างระหว่างสองสิ่ง เพียงเพราะแค่สิ่งสมมติที่มนุษย์กำหนดขึ้น” บางครั้งเราให้คุณค่าของสิ่งสมมติมากกว่าคุณค่าของจิตใจด้วยซ้ำนั่นคือ ”ความไม่เท่าเทียม”
ด้วย อีโก้ ผมจึงจากเมืองใหญ่มาอาศัยยังถิ่นห่างไกลสิ่งสมมติทั้งหลาย ผมไม่ชอบการใส่หน้ากากผมเลือกที่จะเดินไปยังจุดหมายแห่งอุดมการณ์มากกว่าหยุดนิ่งกับความสำเร็จที่จอมปลอม การเดินของผมเต็มเป็นไปโดยความหวัง ผมโหยหาบางอย่าง บางอย่างที่หลายคนบอกปัดเมื่อห้วงจิตสำนึกเฝ้าร้องฟ้องผิด ผมไม่สามารถทนได้ ผมโหยหากระหายที่จะไปถึงที่นั่น วันหนึ่งมันจะงดงามเหมือนต้นไม้ที่ออกดอกผล จะรอวันนั้นแม้ว่าต้องฟันฝ่าความเย็นชา ต่อสู้กับสิ่งที่อยู่เหนือความคิด “สติสยบความวุ่นวายเสมอ”
ผมนั่งปลดปล่อยความคิดออกไปไร้ขอบเขต...
พยายามปฏิเสธทุกอย่างที่ถ่วงรั้งจากอุดมการณ์นั้น โลกยังคงหมุนไปแต่ทว่าผมกลับอยากหยุดนิ่ง เสียงจากภวังค์ความคิด “ฉันรู้สึกเฉย ๆ” ใครคนหนึ่งพูดไว้ ใช่มันงดงามไม่มีที่ติ เธอไม่เคยผิดเลย หลายคนไม่กล้าเอื้อนเอ่ย บทสนทนาของเราในครั้งเก่าก่อน
“มนุษย์ย่อมมีสองด้าน”
“ไม่ ทุกอย่างล้วนมีสองด้าน”
“คิดอย่างนั้นจริงหรือ?”
“ใช่” มันดูง่ายแต่จริงใจ
“เดินหลายคนไม่เหนื่อย จริงหรือ?”
“ฉันเคยเดินคนเดียวแต่ไม่รู้สึกเหนื่อย กลับรู้สึกถึงความงดงาม”
“ไอ่ อ้วน !” เธอสบถ
“ฉันทำเต็มที่แล้ว” ...
แม้ไม่อยากมอง เราก็ยังคงเห็นอดีตเสมอ แม้มันจะหายไป แต่นั่นคือ “ชั่วคราว” หาใช่ “นิรันดร์กาล” เพียงเป็นฉัน เพราะ...
ไร้คำตอบใด ๆ แม้ความเงียบงันก็ไร้ความหมายใด
หนึ่งคนนั้นที่ผ่านไปได้กลับมา ไม่มีสายฝนไม่มีสิ่งขวางกั้นศักยภาพการมอง เป็นเธอ แต่ยิ้มหายไปจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อมีชายสองหญิงหนึ่ง หลีกไม่พ้นการสูญเสีย
ฉันนั่งเพียงลำพัง...
ใบไม้ร่วงหล่น อีกฤดูมาเยือน ไม่มีการเหลียวมอง ไม่มีการแก้ไข เมื่อผ่านแล้วย่อมผ่านเลยเพราะฉะนั้นจงทำวันนี้ ให้เต็มที่ คิดก่อนกระทำ ฤดูหนึ่งบดบังฤดูหนึ่ง บดบังแม้ความทรงจำเดิม ๆ จึงทำให้ไม่เห็นเธอ รวมทั้งเธอผู้ผ่านมาก็ลาลับหายไป ดอกไม้กลับมาบานสะพรั่งอีกครั้ง กลับกลายจากเปลี่ยวเหงาเป็นชีวิตใหม่ น่าเชยชมยิ่งนัก ดอกไม้เมื่อยามแรกแย้ม
พลบค่ำเริ่มมาเยือน หรีดเรไรขับขานแซงแซ่ บางอย่างตกลงมาจากต้นไม้ เป็นของที่ตกหรือว่ามันถูกทิ้งอย่างไม่เหลียวมอง บางสิ่งไม่อยากเจอ และแล้วก็ต้องเจอ
ความเงียบเหงามาเยี่ยมอีกครา...
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
"นิทานดวงอาทิตย์"
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว... ในห้วงอวกาศอันมืดมืด ไร้สิ่งมีชีวิตใด ๆ ถือกำเนิด หมู่ดาวใหญ่น้อยส่องแสงระยิบระยับอวดความงามกันอย่างมีความสุข ดาวแต่ละดวงต่างภาคภูมิใจกับแสงสีอันงดงามของตน แต่มีดาวดวงหนึ่งที่แตกต่าง มันมีขนาดใหญ่มหึมา แต่หาได้มีแสงสีอย่างดาวดวงอื่น ทุก ๆ วันมันจะคอยจ้องมองความงามของบรรดาเพื่อนดาวทั้งหลายอย่างมีความสุข มันชอบที่จะทำให้บรรดาเพื่อน ๆ หัวเราะเพราะทุกครั้งที่ดาวเหล่านี้หัวเราะ และมีความสุขพวกมันก็จะคอยเปล่งประกายเจิดจรัสส่งความงดงามออกมาให้ดาวดวงใหญ่ได้เห็นอยู่เสมอ
อยู่มาขณะหนึ่ง ที่ดาวดวงใหญ่กำลังมีความสุขกับการได้จ้องมองแสงสวยของดวงดาวทั้งหลาย พลันเสียงหนึ่งปรากฏจากห้วงความมืดถามดาวดวงใหญ่ว่า
“ทำไมเจ้า ถึงไร้แสงสวยเช่นดาวดวงอื่นเล่า ?”
“แล้วใยข้าต้องมีแสงด้วย ในเมื่อความสุขของข้าคือการได้จ้องมองความงามของผู้อื่น”
“จริงหรือ ที่เจ้ามีความสุขดีแล้ว”
“ข้าว่าถ้าดาวดวงใหญ่อย่างเจ้า มีแสงส่องประกายออกมาละก็ เจ้าต้องเป็นดาวที่สวยที่สุดเป็นแน่”
“จริงหรือ !!!” ดาวดวงใหญ่เริ่มคล้อยตาม
“ก็จริงนะสิ”
“แล้วข้าต้องทำอย่างไร ถึงจะมีแสงเจิดจรัสเช่นดาวดวงอื่น”
“เพียงแค่เจ้านำพาร่างอันใหญ่โตของเจ้าเข้ากระทบกับดาวดวงอื่นที่มีแสง ไม่นานแสงเหล่านั้นก็จะติดตัวเจ้ามา จนทำให้เจ้ากลายเป็นดวงดาวที่เจิดจรัสที่สุดในจักรวาล”
สิ้นประโยค เสียงนั้นพลันหายเข้าไปในความมืดมิด ทิ้งไว้เพียงดาวดวงใหญ่ กับความฮึกเหิมใจที่มี...
ดาวดวงใหญ่มิรอช้า รีบพุ่งเข้าหาหมู่ดาวใหญ่น้อยหวังที่จะกระทบเอาแสงจากดวงดาวเหล่านั้นคิดหวังว่าให้ผู้อื่นแบ่งปันความงามให้กับตัวเอง ทุกครั้งที่กระทบแม้จะเจ็บปวดก็จะยอมทนเพื่อความงดงามของตน ดวงดาวทั้งหลายต่างตกใจในสิ่งที่ดาวดวงใหญ่ได้กระทำต่างพยายามหลีกหนีแต่มิอาจพ้น ต่างเจ็บแต่ก็จำต้องฝืนทนอยู่เป็นเวลาช้านาน
บัดนี้เป็นจริงดังคำบอกกล่าว ดาวดวงใหญ่จรัสแสงเจิดจ้า ทั่วจักรวาลมิมีใครเทียบเท่าเขาได้ มันจึงเริ่มเปล่งแสงส่องสว่างกว้างไกล ดาวทุกดวงขนานนามให้ว่า “ดวงอาทิตย์” ยิ่งนานวันแสงนั้นยิ่งมาก และทุกครั้งที่มันเปล่งประกาย ความร้อนจากแสงนั้นทำให้มิอาจมีใครเข้าใกล้ ดาวทุกดวงจึงพากันหนีห่างมันไป แม้วามันมีแสงที่งดงามกว่าดาวดวงใดในท้องนภา แต่ทว่า ความสุขที่เคยมีกลับหดหาย เพื่อนดาวน้อยใหญ่ที่เคยเปล่งประกายให้มันเห็นนั้นมิอาจอยู่ใกล้ บัดนี้ไม่มีใครอยู่เคียงข้างกายมันได้อีก
เมื่อรู้ตัวอีกทีมันก็มิสามารถมองเห็นสิ่งใดได้อีก ด้วยแสงอันแรงกล้าของมันนั้นที่บดบังแสงของบรรดาดาวดวงอื่นที่เคยเปล่งประกาย แม้จะสุดแสนเสียใจแต่ก็สายสำหรับการกลับตน
อยู่มาขณะหนึ่ง ที่ดาวดวงใหญ่กำลังมีความสุขกับการได้จ้องมองแสงสวยของดวงดาวทั้งหลาย พลันเสียงหนึ่งปรากฏจากห้วงความมืดถามดาวดวงใหญ่ว่า
“ทำไมเจ้า ถึงไร้แสงสวยเช่นดาวดวงอื่นเล่า ?”
“แล้วใยข้าต้องมีแสงด้วย ในเมื่อความสุขของข้าคือการได้จ้องมองความงามของผู้อื่น”
“จริงหรือ ที่เจ้ามีความสุขดีแล้ว”
“ข้าว่าถ้าดาวดวงใหญ่อย่างเจ้า มีแสงส่องประกายออกมาละก็ เจ้าต้องเป็นดาวที่สวยที่สุดเป็นแน่”
“จริงหรือ !!!” ดาวดวงใหญ่เริ่มคล้อยตาม
“ก็จริงนะสิ”
“แล้วข้าต้องทำอย่างไร ถึงจะมีแสงเจิดจรัสเช่นดาวดวงอื่น”
“เพียงแค่เจ้านำพาร่างอันใหญ่โตของเจ้าเข้ากระทบกับดาวดวงอื่นที่มีแสง ไม่นานแสงเหล่านั้นก็จะติดตัวเจ้ามา จนทำให้เจ้ากลายเป็นดวงดาวที่เจิดจรัสที่สุดในจักรวาล”
สิ้นประโยค เสียงนั้นพลันหายเข้าไปในความมืดมิด ทิ้งไว้เพียงดาวดวงใหญ่ กับความฮึกเหิมใจที่มี...
ดาวดวงใหญ่มิรอช้า รีบพุ่งเข้าหาหมู่ดาวใหญ่น้อยหวังที่จะกระทบเอาแสงจากดวงดาวเหล่านั้นคิดหวังว่าให้ผู้อื่นแบ่งปันความงามให้กับตัวเอง ทุกครั้งที่กระทบแม้จะเจ็บปวดก็จะยอมทนเพื่อความงดงามของตน ดวงดาวทั้งหลายต่างตกใจในสิ่งที่ดาวดวงใหญ่ได้กระทำต่างพยายามหลีกหนีแต่มิอาจพ้น ต่างเจ็บแต่ก็จำต้องฝืนทนอยู่เป็นเวลาช้านาน
บัดนี้เป็นจริงดังคำบอกกล่าว ดาวดวงใหญ่จรัสแสงเจิดจ้า ทั่วจักรวาลมิมีใครเทียบเท่าเขาได้ มันจึงเริ่มเปล่งแสงส่องสว่างกว้างไกล ดาวทุกดวงขนานนามให้ว่า “ดวงอาทิตย์” ยิ่งนานวันแสงนั้นยิ่งมาก และทุกครั้งที่มันเปล่งประกาย ความร้อนจากแสงนั้นทำให้มิอาจมีใครเข้าใกล้ ดาวทุกดวงจึงพากันหนีห่างมันไป แม้วามันมีแสงที่งดงามกว่าดาวดวงใดในท้องนภา แต่ทว่า ความสุขที่เคยมีกลับหดหาย เพื่อนดาวน้อยใหญ่ที่เคยเปล่งประกายให้มันเห็นนั้นมิอาจอยู่ใกล้ บัดนี้ไม่มีใครอยู่เคียงข้างกายมันได้อีก
เมื่อรู้ตัวอีกทีมันก็มิสามารถมองเห็นสิ่งใดได้อีก ด้วยแสงอันแรงกล้าของมันนั้นที่บดบังแสงของบรรดาดาวดวงอื่นที่เคยเปล่งประกาย แม้จะสุดแสนเสียใจแต่ก็สายสำหรับการกลับตน
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2552
"ฟ้าใหม่"
วันวาน หมุนเปลี่ยนเวียนผัน
ชีวิตคน ล้มลุกคลุกคลาน ผ่านพ้น
เจ็บปวด รวดร้าว ฝืนทน
รอวัน ฟ้าหม่น มลาย
ไม่มีทุกข์ ใด ใต้หลาเป็นนิรันดร์
เพียงก้าว ข้ามมันผ่านพ้น
ชีวิต ผลิช่องามชล
ฟ้าใหม่ มิหม่น งดงาม...
ชีวิตคน ล้มลุกคลุกคลาน ผ่านพ้น
เจ็บปวด รวดร้าว ฝืนทน
รอวัน ฟ้าหม่น มลาย
ไม่มีทุกข์ ใด ใต้หลาเป็นนิรันดร์
เพียงก้าว ข้ามมันผ่านพ้น
ชีวิต ผลิช่องามชล
ฟ้าใหม่ มิหม่น งดงาม...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)