วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551

หล่น – หาย

คุณเคยทำอะไรหายบ้างหรือเปล่า?

หลายครั้งที่เราเคยทำสิ่งของสำคัญหายไปจากชีวิต เหตุการณ์เหล่านั้นล้วนแต่นำความเสียใจมายังชีวิตเรา ปริมาณในความเสียใจนั้นย่อมแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความสำคัญของวัตถุแต่ชิ้น

ถ้าหากว่าสิ่งที่หายไปจากชีวิตเราไม่ได้เป็นสิ่งของ หรือวัตถุ แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “คน” เราจะรู้สึกยังไง ???

ในความเป็นจริงเหตุการณ์เช่นนี้ล้วนเกิดขึ้นกับเราทุกคนมาแล้ว ทั้งนั้น หากลองคิดย้อนหลังไปให้ดีเราจะพบว่ามีคนมากมายที่เราหลงลืมทิ้งไว้ข้างทางเดินของชีวิต

ติ๋ว เพื่อนตอน ป.2 ที่เราชอบแกล้งเป็นประจำ
สมชายที่เคยโดดน้ำด้วยกัน
สังเวียน ที่แอบขี่มอเตอร์ไซด์ ไปเที่ยวด้วยกันครั้งแรกตอน ม.2
บรรจบ คู่แข่งจีบน้อง แต๋ว ตอน ม.5
เฉลิมชัย เพื่อนรวมคณะในมหาวิทยาลัย
ฯลฯ ...

คนเหล่านี้ได้แวะเวียนเข้ามาสร้างสีสัน แต่งเติมชีวิตของเราให้มีรสชาติ แล้วก็ผลัดเปลี่ยนกันห่างหายไป ซึ่งถ้ามองกลับกันเราก็เป็นส่วนหนึ่งเช่นกันในการ เติมแต่งชีวิตของผู้อื่น แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปถึงจุดหนึ่งที่เรียกว่า การลาจาก ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม เราก็ปฏิเสธมันไม่ได้ และสิ่งที่เป็นผลตามมาก็คือ การลบเลือนทางความรู้สึก มันจะค่อย ๆ จางหายไปพร้อมกับภาพความทรงจำ ยิ่งนานก็ยิ่งทำให้ภาพในหัว หม่น มัว นัว ลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง ความรู้สึกและภาพมันค่อย ๆ หายไป

เคยไหมที่เจอเหตุการณ์ พบเพื่อนเก่า ตอนประถม หรือ แล้วไม่กล้าเข้าไปทัก ไม่รู้จะเริ่มต้นในการเข้าไปคุยยังไง ทั้ง ๆ ที่มันก็คือ คนเดียวกับที่เรา ตบหัว กอดคอ ขี่หลัง กันในวันวาน

น่าแปลกใจที่ความรู้สึกที่หอมหวนกับเหตุการณ์น่าประทับใจในวันวาน มันลดลงเมื่อคนเราได้แยกจาก หรือแท้จริงแล้วความห่างเหิน มันบั่นทอนความรู้สึกและความทรงจำในวันวาน หรือว่าเป็นเราเองที่ทำมันหล่นหายระหว่างทางเดินของชีวิต เพราะเนื้อที่ในความทรงจำของเราถูกเบียดแย่งพื้นที่เพื่อใช้ในงานที่เราทำ ความเครียดจากเศรษฐกิจ การจดจ่ออยู่ในความสำเร็จของชีวิต สิ่งเหล่านี้หรือเปล่า ที่เข้ามาเบียดเสียดจนความทรงจำที่ดี ความรู้สึกที่แสนน่าประทับใจ มันตกไปจากหน่วยความทรงจำในใจเรา ใช่!!! “ในใจ” ไม่ใช่ “ในสมอง”

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะกลับไปตามเก็บเอาความทรงจำเหล่านั้นมาเก็บไว้ในลิ้นชักแห่งความทรงจำ หาพื้นที่เฉพาะเพื่อเก็บรวมรวบความรู้สึกดี ๆ ความน่าประทับใจต่าง ๆ ไว้ในชีวิต วันหนึ่งเมื่อเราเหนื่อยล้า หรือหมดแรง ไม่แน่ว่าการดึงลิ้นชักเหล่านี้ออกมาดู และค่อย ๆ ละเลียดความรู้สึกไปกับมัน อาจจะเป็นการเพิ่มพลังในการใช้ชีวิตของเราให้ต่อออกไปอีกวันก็ได้...



วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ส.ค.ส. หายไปไหน ???

ผมเกือบลืมไปว่าในช่วงชีวิตหนึ่งเคยมีประสบการณ์ร่วมกับ ส.ค.ส. ถ้าหากไม่ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งแล้วเจอคำว่า ส.ค.ส. ผมก็คงลืมไปแล้วว่า ผมเคยมีความรู้สึกดี ๆ ผ่านการ ส่งความสุข ไปยังคนอื่น ๆ

หากคุณเคยผ่านชั้นประถมศึกษามา แน่นอนในช่วงก่อนสิ้นปี คุณครูภาษาไทยมักจะให้เด็ก ๆ ในชั้นเรียนทำ ส.ค.ส. เพื่อ “ส่งความสุข” ให้กับคนที่รู้จัก ซึ่งมันจะทำมาจากกระดาษวาดรูปเล่มเล็ก ๆ แบ่งครึ่งแล้วพับอีกที ร่างภาพง่าย ๆ ด้วยดินสอแล้วระบายสี ไม่ว่าจะเป็นสีเทียนหรือสีไม้ ข้างในเว้นที่ว่างไว้ เมื่อคุณครูตรวจแล้วจึงค่อยเขียนข้อความลงไป เป้าหมายคือการ “ส่งความสุข” เป้าหมายในการส่งนั้นก็หลากหลาย บางคนเป็นเพื่อน บางคนนึกถึงพ่อแม่ ญาติพี่น้อง หรือบางคนนึกถึงคนในห้องเดียวกัน ซึ่งแน่นอน เป็นเพศตรงข้าม ผมยังจำความสุข ที่ได้จากการ “ส่งความสุข” ได้เป็นอย่างดี

เมื่อวันเวลาเปลี่ยนไปการ “ส่งความสุข” ของคนเราก็เปลี่ยนตาม ปัจจุบัน ส.ค.ส. ที่เมื่อก่อนเคยทำกันออกมาวางขายเกลื่อนกลาดในช่วงใกล้สิ้นปีนั้นไม่มีให้เห็นอีกต่อไป ภาพของการนั่งเขียน ส.ค.ส. เป็นโหล ๆ เพื่อส่งให้คนที่เรารู้จักก็หมดไปในปัจจุบันหากต้องการส่งความในใจ หรือถ้อยคำพิเศษให้ใคร หรือกลุ่มไหน ก็เพียงแค่กดโทรศัพท์ไปยังโหมด SMS แล้วก็พิมพ์ข้อความ เลือกรายชื่อที่ต้องการส่ง จะรายบุคคล หรือกลุ่มก้อน มากมายขนาดไหน ก็ส่งได้อย่างรวดเร็วทันใจ ไวปานรถไฟซิน-งันเซ็นในญี่ปุ่น แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ยิ่งวิธีการ “ส่ง” เร็วมากขึ้นเท่าไหร่ คุณค่าของสิ่งที่ส่งไปนั้นก็หายไปด้วย เมื่อก่อนกว่าจะส่งได้ไม่ว่าจะเป็น ส.ค.ส. ทำขึ้นเอง หรือ ส.ค.ส. ที่ซื้อมา แต่สุดท้ายก็ต้องใช้วิธีการเขียนข้อความลงไปอยู่ดี ซึ่งขั้นตอนนี้แหละเป็นมนต์เสน่ห์ ของสิ่งที่เรียกว่า “การส่งความสุข” อย่างแท้จริง

การที่ได้นั่งลงบรรจงเขียนสิ่งที่อยู่ภายใจ ให้กับใครสักคนเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องบรรจงกลั่นกลองจากหัวใจ ไปยังสมอง สั่งการมายังมือ ผ่านอุปกรณ์ขีดเขียนเป็นข้อความส่งผ่าน บุรุษไปรษณีย์ เพื่อไปถึงเป้าหมายแห่งการส่ง ช่างเป็นขั้นตอนที่เต็มไปด้วยการรอคอย ทั้งฝ่ายรับ และฝ่ายส่ง คุณค่ามันจึงเกิดขึ้นเมื่อได้ รอคอย แต่ในโลกปัจจุบัน ความเร่งรีบเบียดแย่งพื้นที่ความสุขแห่งการรอคอยไปจนเกือบหมดสิ้น ความรวดเร็วในการสื่อสารมีมากขึ้นผู้คนไม่สนใจคำว่ารอคอย ความสุขจึงเลือนหายไป ทำให้ ส.ค.ส. ที่ถูกมองว่าเต็มไปด้วยขั้นตอนยุ่งยากหายไปด้วย

แต่ถ้าลองมองย้อนกลับไปถามตัวเองดี ๆ ว่าความอุ่นใจทุกครั้งที่ได้จากกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่เรียกว่า ส.ค.ส. นั้น มันหายไปจากชีวิตนานเท่าไหร่แล้ว เราหลงลืมความสุขเช่นนั้นไปนานเท่าไหร่ ???

คำตอบคงอยู่ในใจ ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้พบกับความสุขอย่างเช่นทุกครั้งที่เปิดมันออกอ่านได้อีกหรือไม่???

เพราะว่า ส.ค.ส. ไม่ได้หายไปแค่ในสังคม แต่มันได้หายไปจากใจของเราเสียแล้ว...

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2551

สองฝาก...

ภาพชายวัยกลางคนนั่งโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือดนอนอยู่ข้างถนน ขาข้างขวาขาดวิ่นเลือดแดงฉานเปรอะริมบาตวิถี ผู้คนต่างวิ่งหนีเอาตัวรอด เสียงปืนดังขึ้นเป็นระยะ ๆ แก๊สน้ำตาพวยพุ่งเต็มท้องถนนทำให้ผู้คนต่างปาดน้ำตาของตนด้วยความปวดแสบปวดร้อน บ้างถือผ้าขนหนูปิดหน้า บ้างใช้ผ้าคลุมหน้าไว้ บ้างขว้างปาขวดตอบกลับด้วยความโกรธแค้น

แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่แสงแปลบปลาบยังคงแล็บออกมาจากปลายกระบอกปืนอย่างไม่ขาดสาย การปะทะยืดเยื้อมาจนถึงสองทุ่ม แสงไฟสลัวข้างทางยังคงพอช่วยให้หมอ และพยาบาลได้ช่วยคนเจ็บคนป่วยได้บ้าง เสียงหวอดังกังวานไปทั่วท้องถนนเร่งนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะตอนนี้ท้องถนนเต็มไปด้วยสิ่งกีดขวาง

ชายสองคนหิ้วปีกชายวัยไล่เลี้ยกันเข้ามายังหน่วยพยาบาล มือข้างขวาห้อยรุ่งริ่งจนไม่เหลือสภาพเดิม หญิงชราคนหนึ่งทรุดลงกับพื้นถนนด้วยแรงระเบิดชายหนุ่มคนหนึ่งพยายามประคองเธอลุกขึ้น เด็กหนุ่มถือขวดน้ำพยายามขว้างเข้าใส่เจ้าหน้าที่ ลุงคนหนึ่งพยายามช่วยภรรยาให้ออกมาจากควันแก๊สน้ำตา ชายฉกรรณ์ถือโทรโข่งสั่งการผู้ชุมนุม คนเสื้อเหลืองจำนวนมากวิ่งหนีออกมาจากจุดชุมนุม ในมือคนเหล่านั้นว่างเปล่า แต่ในใจคงเต็มไปด้วยคำถาม

"ท่านครับเราต้องไปแล้ว" เสียงชายในชุดซาฟารีบอกกับเจ้านาย

ผู้เป็นนายลุกขึ้นจากหน้าจอทีวี เดินออกจากห้องด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไร้บทสนทนาใด ๆ ...

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2551

แดน ๗

เมื่อสองเท้าก้าวข้ามธรณีประตูเหล็ก ผ่านกำแพงสูงใหญ่ความรู้สึกสะทกสะท้านแผ่ไปทั่วร่างในใจพลันหวั่นไหวไม่คิดว่าจะได้เข้ามายังดินแดนแห่งการคุมขังนี้ เสียงประตูเหล็กถูกปิดลงผลักดันให้ก้าวต่อไปได้เริ่มต้นขึ้น ลมแรงพัดโชยช่วยผ่อนคลายความกดดันภายในใจลงบ้าง บรรยากาศในนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่ แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลังความสวยงามที่ถูกจัดแต่งขึ้น หรืออาจเป็นเพราะคนที่นี่ต้องการความผ่อนคลายทางด้านจิตใจ และความรู้สึก สิ่งเหล่านี้จะช่วยบำบัดอารมณ์พวกเขาได้หรือไม่ ? ผมเก็บคำถามไว้เฉกเช่นความหวาดหวั่นภายใน

ผมไม่กล้าที่จะสบตาเขาเหล่านี้ ไม่ใช่เพราะความกลัวแต่เป็นความรู้สึกหดหู่ ไม่รู้จะแสดงสีหน้าและแววตาเช่นไรดี จะยิ้มทักทายด้วยไมตรี หรือชื่นชม หรือ ยิ้มแสดงความเสียใจให้กับเขา มันควรจะเป็นแววตาแบบไหนกันที่พวกเขาต้องการผมสังเกตเห็นบางอย่างที่ซ่อนอยู่หลังร้อยยิ้มและความสนุกสนาน ในบริบทความรู้ของผมเรียกมันว่า “ความเจ็บปวด” ซึ่งผมไม่มีวันรู้ความหมายที่แท้จริงของคำนี้ ณ สถานที่แห่งนี้ การฝ่ากำแพงความรู้สึกที่ซ่อนอยู่หลังดวงตาเหล่านี้ คงยากกว่าการก้าวข้ามกำแพงแห่งดินแดนต้องห้ามแห่งนี้มากมายหลายเท่านัก

ผมไม่อยากรู้สาเหตุในการเข้ามายังดินแดนแห่งนี้ของพวกเขา แต่ผมอยากรู้มากกว่าว่า พวกเธอจะใช้ชีวิตอย่างไรต่อไปเมื่อออกจากสถานที่แห่งนี้ ช่วงเวลาในนี้กับโลกภายนอกนั้นย่อมหมุนด้วยอัตราเร่งไม่เท่ากัน ถ้าหากว่าโลกที่พวกเขาอยู่ตอนนี้เดินไปอย่างเอื่อยช้าไร้จุดหมาย แล้วเวลาออกไปจากที่นี่แล้วต้องพบเจอกับโลกแห่งความเป็นจริงที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว แล้วพวกเขายังคงจะก้าวไปทันมันหรือไม่ พวกเขาจะสามารถปรับก้าวแห่งจังหวะชีวิตของพวกเขาให้ตรงกับโลกแห่งความเป็นจริงได้หรือไม่ ? ยังคงจะมีใครที่ช่วยพยุงยามที่พวกเขาปรับก้าวย่างชีวิตหรือเปล่า ? จะมีคนในโลกภายนอกรอคอยพวกเขาอยู่หรือไม่ ? หรือว่าพวกเขาถูกลบเลือนความทรงจำจากสังคมภายนอกผ่านวันเวลาที่ล่วงเลย...

พวกเขาบางคนใช้ชีวิตในนี้มานาน นานเสียจนไม่กล้าที่จะเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริงภายนอก เพราะมันคงยากนัก ที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่เมื่อเหลือเวลาในชีวิตไม่ถึงหนึ่งในสี่ของเวลาในโลกนี้ หลายคนไม่อยากออกไปจากที่นี่ สิ่งที่ผู้คนมองว่าน่ากลัว แต่สำหรับบางคนมันคือความรู้สึกปลอดภัยสำหรับเขา โลกสองแห่งนี้ถูกกั้นไว้เพียงแค่กำแพงสูงไม่กี่เมตร แต่ทำไมช่วงเวลา และความหมายในการใช้ชีวิตช่างต่างกันลิบลับ

ไม่น่าเชื่อว่าอิทธิพลแห่งศรัทธาในการดำเนินชีวิตจะถูกก่อขึ้นสูงยิ่งกว่ากำแพงที่กั้นเสียอีก มันแยกโลกให้เป็นสองใบได้ และในแต่ละด้านล้วนมองไม่เห็นเหตุผลของการใช้ชีวิตในอีกด้านได้ชัดเจนนัก ได้เพียงแค่จ้องมองซึ่งกันและกัน ผ่านความจำกัดของตัวเอง หากการก้าวเข้ามาในที่แห่งนี้จะช่วยให้ผมเข้าใจอะไรได้สักเพียงเล็กน้อย นั่นก็จะเป็นความยินดีเป็นอย่างยิ่ง

แต่ว่าทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ ไม่ได้ต้องการเพียงแค่การมองเพียงอย่างเดียว การเข้าไปสัมผัสด้วยรักต่างหากที่จะช่วยเยียวยาความขุ่นหมองของโลกได้...

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2551

ฉัน ใน แนวนอน...

ฉันเอนกายลง หลังจากที่ไม่ได้ทำอย่างนี้มาแสนนาน เมื่อแผ่นหลังกระทบแผ่นไม้ริมคลองที่ไหลรินเอื่อยเฉื่อย ประดุจว่ามันไม่ต้องการเร่งเร้าไปกับจังหวะโลกปัจจุบัน ฉันก็ได้พบปะเพื่อนเก่าบนท้องนภา ที่ส่งแสงทักทายกันอย่างเป็นกันเอง ฉันกระหยิ่มในใจเป็นการตอบรับ ค่ำคืนช่างเงียบงันแม้กระทั้งสายลมก็ไม่แวะวนมาทักทาย ทำให้บรรยากาศช่างเงียบเหงา ฉันยังคงทักทายเพื่อนเก่าผ่านความเงียบงัน

ฉันชอบที่จะใช้ชีวิตในแนวนอนเช่นนี้เพราะมันดูเหมือนว่าฉันได้หลบวิถีกระสุนแห่งปัญหาที่ถาโถม และทุกครั้งที่แอนกายลงเช่นนี้ มิตรภาพแห่งความสวยงามก็มิเคยเปลี่ยนแปลงไปเลย เหล่าดวงดาวยังคงที่ไม่หนีหายไปไหน หรือว่าพวกมันรอคอยการกลับมาพบเจอจากฉันอยู่ตลอดเวลา

ทุกครั้งที่ฉันได้อยู่ที่นี่มันเหมือนการได้หลุดออกมาสู่โลกอีกใบหนึ่ง ซึ่งเงียบสงบ และเป็นกันเอง ไม่สับสนวุ่นวายเหมือนกับการยืนขึ้นใช้ชีวิตในแนวตั้งที่จะต้องเจอสิ่งที่ปะทะ กระทบ จนบางครั้งก็เจ็บแทบจะทรุดตัว ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าการใช้ชีวิตเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง หรือเพียงแค่กระแสแห่งค่านิยม เหตุผลของการใช้ชีวิตเช่นนั้นอยู่ที่ไหนฉันไม่เคยรู้ แต่สังคมนี้ได้บอกว่านี่แหละคือสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าคุณยังยืนหยัดแม้เจ็บปวดสักเพียงไหนคุณก็จะชนะ แต่ฉันว่าการพ่ายแพ้นั้นสวยงามกว่าชัยชนะที่เต็มไปด้วยเจ็บปวดมากนัก

แต่บางครั้งฉันก็ถูกกระแสแห่งค่านิยมนี้ พัดพาเสียจนโซเซ เหมือนกับการยืนอยู่กลางแม้น้ำที่เชียวกราด ที่ไม่สามารถยืนอยู่ได้ด้วยเหตุผลของตัวเอง แต่ต้องถูกซัดกระหน่ำด้วยเหตุผลของโลกปัจจุบัน และบางครั้งฉันก็สำลักวัตถุนิยมที่ทุกวันนี้ผู้คนได้บริโภคมันแทนอาหารแห่งปัจจัยไปเสียแล้ว ผู้คนมากมายได้ยอมที่จะจ่ายแม้ไม่มีเพื่อที่จะได้วัตถุสมมติเหล่านั้นมาตอบสนองความต้องการของตน ใช่มันคือความต้องการ ไม่ใช่ความจำเป็น เมื่อไหร่หนอ โลกนี้จะหลุดพ้นจากสิ่งสมมติเหล่านี้เสียที ฉันก็ยังคงได้เพียงแค่สงสัย และตั้งคำถาม

คนเราน่าจะใช้ชีวิตให้พอดี เหมือนกับสายน้ำเล็ก ๆ สายนี้ ที่ทุกวันมันยังคงไหลรินไปเรื่อย ๆ ไม่มากไป ไม่น้อยไป ไม่เร็วไป ไม่ช้าไป มันยังคงไหลไปโดยที่ไม่มีแรงกดดันใด ๆ ฉันว่าชีวิตของสิ่งที่เรียกว่า “มนุษย์” ไม่ได้มีอะไรมากมาย บางครั้งสิ่งนี้ก็ไม่ได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของการใช้ชีวิตมากไปกว่า สายน้ำเล็ก ๆ สายหนึ่ง หรอก

ฉันยังคงแนบแผ่นหลังบนแคร่ไม้แห่งนี้ ปล่อยให้ความรู้สึกดี ๆ ไหลผ่านแผ่นหลังเข้าสู่หัวใจหลับตาพริ้มหลบกระแสอันเชี่ยวกราดของสังคม จินตนาการโลดแล่นไปบนท้องฟ้าอันไกลโพ้น ฉันไม่อยากที่จะยืนขึ้นเลยเพราะทุกครั้งที่ยืนขึ้น เหมือนกับว่าฉันต้องก้าวเข้าสู่โลกที่น่าหวาดหวั่น ฉันอยากสานมิตรภาพระหว่างฉันและดวงดาวอย่างนี้จนกว่าโลกจะสูญสิ้นเลยทีเดียว...

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551

เสียงปืนแตก อีกสักกี่ครั้งหนอ ?


เสียงปืนแตก ตอนรับการมาเยือนของเช้าวันที่ 2 กันยายน ขณะที่คนไทยหลายคนกำลังหลับสบายใต้ผ้าห่มอุ่นในที่นอนของตัวเอง แต่ในเวลาเดียวกัน คนไทยอีกกลุ่มหนึ่งกำลังใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย

เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างคนสองกลุ่ม สองความคิด สองอุดมการณ์ มีให้พบเห็นบ่อย ๆ ในบ้านเมืองของเรา ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่งที่คนไทยต้องฆ่าฟันกันเอง ผมรู้สึกสลดใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อตื่นขึ้นมาพบกับข่าวการบาดเจ็บ และมีการทำร้ายร่างกายกันจนกระทั้งเป็นเหตุให้มีคนเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว กี่ครั้งแล้วที่เราคนไทยต้องสูญเสียจากการเมือง สูญเสียจากผลประโยชน์ และความต้องการของคนบางกลุ่มการปฏิวัตินั้นเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า หรือว่าเรากำลังเรียนรู้ประวัติศาสตร์เพื่อย่ำอยู่ในความเจ็บปวดเดิม ๆ สิ่งเหล่านั้นที่เกิดขึ้นบนเส้นทางแห่งประชาธิปไตยของประเทศไทย ไม่ได้สอนอะไรเราเลยหรือ ?

ตั้งแต่เริ่มมีการปฏิรูปการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ในปี 2475 นั้น การเมืองไทยเหมือนกับย่ำอยู่กับทีมาโดยตลอด การพยายามปฏิวัติครั้งแรกเกิดขึ้นตั้งแต่ที่ประเทศไทยปฏิรูปการปกครองไม่ถึงปี แต่ไม่สำเร็จจึงถูกเรียกว่า “กบฏบวรเดช” และอีกหลายต่อหลายครั้งที่มีการ ปฏิวัติและการทำรัฐประหารอีกมากมาย เหตุการณ์เหล่านั้นทำให้เกิดการสูญเสียเลือดเนื้อของคนไทยด้วยกัน และมันยังยืนยันความไม่ก้าวหน้าทางประชาธิปไตยของประเทศไทย

และวันนี้ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่ง ที่ยืนยันได้ว่าการเมืองไทยนั้นเป็นเครื่องมือหากินของคนบางกลุ่มจริงๆ ผมไม่รู้ว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างนี้ไปอีกกี่ยุคกี่สมัย หรือต้องเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ได้ยังอยู่ในใจของคนไทย เมื่อใดที่นักการเมืองไทยจะตระหนักในภาระหน้าที่ ที่แท้จริงของตนเขาเหล่านั้นจะรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาทำอยู่นั้นได้เป็นการทำลายประเทศชาติและบ้านเมือง รวมไปถึงระบอบประชาธิปไตยที่คนไทยส่วนหนึ่งเสียเลือดเสียเนื้อก่อนที่จะได้มันมา พวกเขากำลังทำให้คุณค่าเหล่านั้นหมดสิ้นไป เพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของพวกเขา

ผมคงเป็นคนหนึ่งที่ได้เพียงแค่ทำในส่วนหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด มันอาจไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากมาย แต่ผมภูมิใจที่ไม่เป็นส่วนหนึ่งในเครื่องมือทางการเมืองของใครบางคน เราคนไทยทุกคนอาจจะเป็นส่วนเล็กในระบอบประชาธิปไตย แต่ว่าหากไม่มีส่วนเล็กน้อยเหล่านี้ ไฉนเลยจะมีจุดที่ใหญ่ขึ้นมาได้ ถ้าวันนี้เพียงแต่เรามีจิตสำนึกตระหนักในหน้าที่ของตน และมีสติในการตรึกตรองก่อนที่จะทำสิ่งใดลงไป ผมเชื่อว่าเหตุการณ์สูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่ามันคงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะเริ่ม “ปฏิวัติตัวตน” ของเราก่อนที่เราจะคิดปฏิวัติประเทศชาติ...

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ผู้แสวงหา...

ฉันออกเดินทางไปยังดินแดนต่าง ๆ เพื่อตามล่าหาความหมายที่แท้จริงในชีวิต ฉันมีธนูเป็นอาวุธ ทุกครั้งที่ฉันง้างสาย และปล่อยลูกธนูไปมันไม่เคยพลาดเป้า แม้เพียงสักครั้งก็ยังไม่เคย

วันนี้ฉันยืนอยู่ ณ ดินแดนแห่งใหม่เป็นการมาเยือนครั้งแรกของฉัน ถึงแม้เป็นอย่างนี้ฉันก็ไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย ทั้งยังคาดหวังจะได้พบเจอสิ่งแปลกใหม่ที่มิเคยมีผู้ใด พานพบมาก่อน ฉันเร่งฝีเท้าไปยังดินแดนเบื้องหน้า ไปตามที่สายตามองเห็น เมืองนี้ช่างงดงามแปลกตายิ่งนัก

ฉันต้องแปลกใจเมื่อก้าวข้ามประตูเมือง เมื่อพบเจอรอยยิ้มของผู้คน และการโบกมือทักทายอย่างเป็นกันเองราวกับว่าฉันมิใช่คนแปลกหน้า ต่างจากหลายแห่งที่ฉันได้ไปเยือนมาช่างน่าอัศจรรย์ แต่ฉันก็มิอาจวางใจ กำอาวุธคู่กายไว้แน่น เพราะสิ่งที่ได้เรียนรู้มากล่าวไว้ว่า “ในความงดงามมักแฝงด้วยพิษร้ายเสมอ” ฉันก้าวเท้าเข้าไปอย่างมั่นคงสายตาจับจ้องสังเกต มิอาจวางใจในสิ่งที่เห็นได้

ฉัน สะดุ้งเฮือก !!! หันหลังง้างธนู ด้วยสันชาติญาณ แต่กลับต้องลดแขนลงเมื่อภาพข้างหน้ามิใช่ศัตรูแน่เป็นภาพของเด็กน้อยที่นำดอกไม้ สีสดสวยยื่นให้ ฉันมิอาจวางใจรับไว้ แต่แววตาของเขาคลายกังวลให้ฉันเป็นอย่างยิ่ง ฉันรับดอกไม้ เด็กน้อยยิ้ม แล้ววิ่งหันหลังจากไป ทิ้งเพียงดอกไม้ และความอุ่นใจไว้กับฉัน

ฉันมิเคยพบเจอสิ่งใดเช่นนี้ แม้ว่าจะท่องไปยังที่ต่าง ๆ มากมาย ทุกที่ ที่ฉันไปเยือนล้วนแต่มี พยันตรายแอบแฝง หากพังพลาดเมื่อใด ชีวิตอาจดับสูญ โลกนี้สอนให้ฉันยืนหยัดด้วยตนเอง แต่ในดินแดนแห่งนี้ ราวกับว่าทุกคนไร้สิ่งกังวลใด ๆ ทุกคนใช้ชีวิตอยู่อย่างผาสุก ร้อยยิ้มและการเผื่อแผ่ มีให้เห็นอยู่เต็มลานเมือง ต่างจากทุกที่ในโลกที่ทุกลานเมืองจะมีแต่รอยเลือด และการแย่งชิง

ไม่น่าเชื่อว่าดอกไม้เพียงดอกเดียวจะทำให้ฉันละมือจากอาวุธได้

ความแข็งแกร่ง และอาวุธคงไร้ค่าสำหรับเมืองนี้ เพราะที่นี้มีความอ่อนโยนและไมตรีเป็นอาวุธที่ทรงพลังคอยปกป้องดินแดนนี้ ฉันเชื่อว่ามิอาจมีนักรบ หรือผู้ใดจะสามารถเอาชนะผู้คน ณ ดินแดนแห่งนี้ได้ หัวใจฉันเริ่มร่ำร้องที่จะอยู่ที่นี่ แต่ฉันมิอาจเชื่อฟังมันได้ เพราะหากฉันอยู่ที่นี่ชีวิตฉันคงไร้ค่าเหมือนดังเช่นเจ้าธนูผู้เคยองอาจ ดินแดนแห่งนี้คงไม่เหมาะกับเราทั้งสอง

ฉันจึงจากมาโดยมิกล่าวลา ฉันคงเป็นแค่ผู้ผ่านทาง มิอาจฝังตัวอยู่ที่ใดได้ หรือแท้จริงมันเป็นเพียงแค่เส้นตัดของกาลเวลา ที่มาบรรจบกันเพียงแค่ชั่วครู่ แล้วผ่านเลยไป

ฉันจึงจากดินแดนแห่งนั้นมา พร้อมกับอาวุธชิ้นใหม่ . . .