วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่

เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ได้หมุนเวียนมาบรรจบครบรอบอีกครั้ง เมื่อครบรอบปีอดีตที่ผ่านมาจะถูกเรียกว่าเป็นสิ่งเก่า และปีที่จะมาถึงคือโอกาสใหม่ หลายคนไม่อยากให้ผ่านพ้นปีนี้ไป แต่ยังมีอีกหลายคนอยากเริ่มชีวิตใหม่เมื่อเริ่มต้นนับวันแรกของปีข้างหน้า

วันที่ 31 ของปีเก่าเหมาะกับการลืมอดีต และวันที่ 1 ของปีใหม่เป็นตัวแทนของการเริ่มก้าวแรกของชีวิตใหม่

หลายคนรอคอยที่จะได้กลับไปพบกับคนในครอบครัว หลังการลาจากมานานแรมปี ตั๋วทุกใบถูกจองจนเต็ม ทั้งทาง รถไฟ รถทัวร์ เครื่องบิน กระทั้งการเดินทางโดยพาหนะส่วนตัว แม้ระยะทางจะยาวไกล แต่การรอคอยที่จะพบเจอกันยาวนานยิ่งกว่า สำหรับคนไกลบ้านแล้วระยะเวลาเพียง สองสามวัน ก็เพียงพอที่จะเยียวยาความคิดถึงได้อย่างมากมาย

กระเช้าของขวัญถูกนำมาว่างจัดเรียงอย่างสวยงามตามร้านรวง ผู้คนต่างจับจ้องมองหาของขวัญสำหรับคนสำคัญ พ่อ แม่ อากง อาม่า ครูบาอาจารย์ เพื่อน แฟน ฯ หลายคนรอคอยของขวัญพิเศษ ในเวลาที่จะมาถึง หลายคนรอคอยที่จะพบเจอกับคนที่ไม่ได้ค่อยพบเจอ หลายครอบครัวเตรียมฉลองกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ขณะที่บางคนไม่มีแม้สักคนเคียงข้าง

การพบเจอมีคุณค่าเสมอ แต่น่าแปลกที่ทำไมเราไม่จัด “เทศกาลส่งท้ายเดือนเก่าตอนรับเดือนใหม่” เพื่อที่จะไม่ต้องรอกันเป็นปีที่จะพบปะสังสรรค์ แต่มีโอกาสมอบสิ่งดี ๆ ให้ซึ่งกันและกันได้ทุกเดือน หรือเสน่ห์ของความคิดถึงมันอยู่ที่ระยะเวลาของการห่างไกล ความพิเศษนั้นต้องนาน ๆ ครั้งถึงจะมีคุณค่า หรือเหตุผลที่แท้จริงของการได้ใกล้กันมันมีข้อจำกัดของความเป็นตัวของตัวเองเข้ามามีส่วนในการแสดงออก หรือเป็นเพราะสภาวะทางสังคมที่จำกัดเราไม่ให้มีโอกาสได้มอบความรู้สึกดี ๆ ให้กันบ่อย ๆ หรือเป็นเพราะเราเองที่ไม่ได้มองหาโอกาสที่จะทำมัน

มันคงดีไม่น้อยหากโลกนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการมอบความสุขให้ซึ่งกันและกัน ดังเช่นเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หากเรามองหาโอกาสที่จะมอบความสุขให้กับคนที่เรารัก หรือคนที่อยู่รอบข้างเรา ก็คงไม่ต้องรอจนครบรอบปีที่จะทำ

อย่ารอให้ใครต้องกำหนดเทศกาลขึ้นมาเพื่อกระตุ้นการมอบความรู้สึกดี ๆ ให้กับคนที่คุณรัก เพราะไม่แน่ว่าเขาคนนั้นอาจจะอยู่ไม่ถึงเทศกาลต่อไป...

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

คำถาม

ภาพหญิงชราหาบของพะรุงพะรังเบื้องหน้ากระตุ้นต่อมความคิดของผมยิ่งนัก
คำถาม

- เธอมี สามี ลูก หลาน หรือญาติพี่น้อง หรือไม่?
- เธออายุเท่าไหร่ ?
- อาชีพที่เธอทำอยู่สร้างรายได้ให้กับเธอวันละเท่าไหร่ และพอกับค่าครองชีพหรือไม่ ?
- เธอต้องมีภาระในการใช้จ่าย หรือเลี้ยงดูคนอื่นอีกไหมนอกจากตัวเอง ?
- บ้านเธออยู่ที่ไหน ?
- อาชีพที่เธอทำเรียกว่าอะไร ?
- ในชีวิตเธอ เคยมีคนรักหรือไม่ ?
- ชื่อของเธอคือ ... ?
- เธอทำอย่างนี้มานานมากไหม ?
- เธอเคยเรียนหนังสือหรือไม่ ?
- เพราะอะไรเธอ ไม่ทำงานอย่างอื่น ?
- เธอมีความสุขไหม ?
- เธอสนใจการเมืองบ้างหรือเปล่า ?
- วิกฤตการณ์เศรษฐกิจตกต่ำมีผลต่อเธอไหม ?
- กลับบ้านไปเธอจะทำอะไร ?
- เมื่อไหร่ที่เธอจะหยุดพัก ?
- เธอเหนื่อยไหม ?

คำถามมากมายเกิดขึ้น มันวิ่งวกวนไร้ทิศทางในหัวผม โดยที่เธอผู้อยู่เบื้องหน้ามิได้รับรู้แม้แต่น้อย เธอยังคงดำเนินชีวิตของเธอต่อไป ใบหน้าไร้การแสดงออกซึ่งความรู้สึกใด ๆ นั้นไม่ยี่หระต่อตัวแปรภายนอก หรือชีวิตของเราทั้งเป็นเพียงแค่จุดตัดแห่งกาลเวลาที่วนมาบรรจบกันแล้วก็ผ่านเลยไป แล้วใยต้องมาตัดผ่านกันในเวลานี้ หรือว่าเส้นโคจรนี้ถูกกำหนดจัดเตรียมไว้ให้พบเจอ อาจมีใครสักคนที่คอยขีดเส้นร้างที่เราไม่สามารถมองเห็น และรับรู้ได้ไว้ก่อนหน้า เพื่อที่เราจะได้เดินไปตามเส้นทางนั้น ๆ แม้อาจต่างเส้นทาง แต่สุดท้ายบันปลายคือที่แห่งเดียวกัน

หญิงชราคนนั้นได้จากไป แต่คำถามมากมายที่เกิดขึ้น ณ รอยตัดนั้นยังคงอยู่กับผม...

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

“กำขี้” ดีกว่า “กำตด” ???

ต้องขออภัยอย่างยิ่ง ที่ขึ้นหัวข้อมาก็ส่งกลิ่นตลบอบอวลทั่วบล็อกเลย !!! เพราะวันนี้จะพูดถึง ทั้ง “ขี้” ทั้ง “ตด” หากท่านผู้อ่านท่านใด รับไม่ได้ กรุณาเลื่อนเมาส์ของท่านไปที่มุมด้านขวาบนของหน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วคลิกเครื่องหมาย X ได้เลย

เราคงคุ้นเคยกับคำพูดที่ว่า “กำขี้ดีกว่ากำตด” เป็นอย่างดี เพราะมันถูกใช้อย่างแพร่หลาย ตั่งแต่ในวงการไฮโซ ไปจนถึง กรรมกรใช้แรงงานทั่วไป ไม่เว้นแม้แต่เวที สีแดง หรือ สีเหลือง และอีกมากมายไปยาลใหญ่ ซึ่งคำนี้มีความหมายว่า “ได้อะไรซักอย่าง ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย” (วะ)

ตามสถานการณ์ทั่วไปที่พบเจอคำนี้ได้บ่อยก็คงเป็น การนำมาใช้เมื่อเราพลาดอะไรที่เป็นความต้องการจริง ๆ แล้วได้อะไรที่ไม่ตรงกับความต้องการของตัวเอง เรามักจะจบด้วยถ้อยคำปลอบใจตัวเองว่า อย่างน้อยก็ “กำขี้ดีกว่ากำตด” ซึ่งในความเป็นจริงมันก็ไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกแย่ ดีขึ้นมาซักเท่าไหร่ ออกจะเป็นแนวระบายอาการปลงในใจเสียมากกว่า

การใช้คำพูดนี้ น่าจะเป็นการเปรียบเทียบ ในเชิงประชดประชัน หากลองวิเคราะห์ตามคุณลักษณ์ของคำที่ใช้ ก็คงจะได้ความหมายว่า “ขี้” เป็นรูปธรรม สัมผัสได้ แตะต้องได้ เป็นตัวแทนของการได้มาซึ่ง แต่ “ตด” เป็น นามธรรม สัมผัสไม่ได้ ไร้ตัวตน เป็นตัวแทนของความว่างเปล่า ไร้ซึ่ง จึงถูกนำมาใช้ในการเปรียบเทียบการ พลั้งพลาดจากเป้าหมายหลักแห่งความต้องการ แต่ก็ยังมีอะไรที่ติดไม้ติดมือมาก็ยังดี

เป็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่งว่าทำไมต้องเป็น “ขี้” และ “ตด” ทำไมไม่เป็น “หมา” กับ “ลม” หรือไม่ก็ “ควาย” กับ “แสงแดด” สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวแทนของ รูปธรรม นามธรรม ได้ทั้งนั้น แต่เมื่อลองพิจารณาจาก อรรธรส ทั้ง อารมณ์ ความรู้สึก ในการฟังแล้ว ปรากฏว่า “ขี้” กับ “ตด” ชนะไปอย่างเป็นเอกฉันท์ จึงพอรับได้ในเรื่องของการเลือกใช้คำ

แต่เมื่อลองพิจารณาตามความหมาย ก็เริ่มที่จะสงสัย ว่าตกลงการ กำ “ขี้” มันดีกว่า กำ “ตด” จริงหรือ?

เมื่อการกำ “ขี้” ในความเป็นจริงเราต้องทนทั้งกลิ่นเหม็น สภาพที่ไม่น่าดูของมันซึ่งมันไม่เคยบอกก่อนเลยว่าก่อนออกจากระบบขับถ่ายมาสู่โลกภายนอกนั้น มันจะเป็น ก้อน หรือ เหลว เละ หรือ มีกาก อะไรติดมาบ้างรึเปล่า (พิจารณาได้จากประสบการณ์ส่วนบุคคลได้) ซึ่งเมื่อเรากำมันขึ้นมามันเป็นอะไรที่ฝืนกับความเป็นจริงอย่างยิ่ง คงมีน้อยคนที่จะชื่นชมใน “ขี้” ของตัวเองด้วยการจ้องมอง และหยิบมาชื่นชม ลูบไล้ ก่อนกดมันลงชักโครก แต่ในทางตรงกันข้าม เราแทบจะไม่ดูมัน แถมยังกลั้นหายใจอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นการกำ “ขี้” ในชีวิตจริงคงเกิดขึ้นได้น้อย หรือไม่ เปอร์เซ็นต์คงเป็นศูนย์

มาถึงคู่กรณี “ตด” เป็นลมผายที่ออกมาจากช่องแคบระหว่างก้อนเนื้อสองก้อนที่เรียกว่า “ก้น” เป็นการระบาย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และมีเทน ออกมาจากสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “มนุษย์” ซึ่งสามารถมีผลกระทบต่อคนรอบข้างได้ ตั้งแต่ พ่อแม่ เพื่อนฝูง ไปจนถึงคนแปลกหน้า สามารถออกฤทธิ์ได้ทุกสถานที่ ความแรงในแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับความมิดชิด อับ แออัด ของพื้นที่นั้น ๆ ในการหยิบยก “ตด” มาใช้ในกรณีที่ว่า “กำขี้ดีกว่ากำตด” คงเป็นเพราะมันใช้เป็นตัวแทนของการไม่ได้อะไรเลย เพราะ “ตด” อยู่ในรูปของ “ก๊าซ” ซึ่งจับต้องไม่ได้ แต่เมื่อคิดให้ดี ทุกครั้งเมื่อเราต้องกำ “ตด” ไม่ว่าในกรณี “ตดออกมาแล้วกำในใส่หน้าเพื่อน” หรือ “การตดแล้วกำ ไปปล่อยที่อื่นเพราะไม่อยากให้คนอื่นได้กลิ่น” ล้วนเกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง เพราะทุกครั้งที่กำ “ตด” เราไม่ต้องทนต่อความขยะแขยง หรือต้องวิ่งแจ้นไปล้างให้เสียเวลา เพราะไม่มีใครมองเห็น จะทนก็อย่างเดียวคือกลิ่น แต่นั่นก็กลิ่นของเราอีกเช่นกัน ในความเป็นจริงคนส่วนใหญ่ไม่รังเกียจตดของตัวเองซักเท่าไหร่ ออกจะดูน่ารักด้วยซ้ำถ้า เผลอ “ตด” ออกไปดัง ๆ ขณะที่กำลังสนทนา หรืออยู่กันหลายคน เสียงหัวเราะ มักจะมาแทนคำด่า เสียมากกว่า แต่หากลองนึกดูว่ามีใครสักคนเกิด “ขี้” แตก ขึ้นมากลางวงสนทนา จะมีใครสักคนหรือไม่ที่ขำออก

ถ้อยคำที่ว่า กำ “ขี้” ดีกว่า กำ “ตด” นั้น ถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยที่หลายคนไม่ได้คิดอะไรมากมาย มีคนใช้มาก็เลยใช้ต่อ ๆ กันไป แต่ผมว่า มีหลายสิ่งหลายอย่างบนโลกกลม ๆ ใบนี้หาก หยิบใช้กันอย่างไม่ได้คิดไตร่ตรองให้ดี ก็อาจจะเป็นผลกระทบทั้งตัวคนใช้ หรือคนที่อยู่รอบข้าง ถึงเวลาแล้วที่เราจะพิจารณาถึงรายละเอียดเล็กน้อยที่ดูไม่สำคัญในชีวิต แต่เชื่อเถอะว่าทุกสิ่งที่เป็นการกระทำของเรา ส่งผลกระทบออกไปสู่สิ่งอื่นได้ทั้งนั้น เหมือนที่ใครบางคนบอกไว้ว่า “การกระทำแม้เพียงเล็กน้อยก็เปลี่ยนแปลงโลกได้”

โลกทุกวันนี้สอนให้เรากำ “ขี้” มานานเสียจนลืมในความหมายของมัน ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะ ล้าง “ขี้” ที่ติดมือออกไป แล้วหันมา กำ “ตด” ซึ่งเมื่อกำแล้วไม่ต้องล้าง อย่าปล่อยให้ “ขี้” เกาะกุมมุมมองของเราเสียจนลืมมองความเป็นจริงในการดำเนินชีวิตนะครับ ...

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551

หล่น – หาย

คุณเคยทำอะไรหายบ้างหรือเปล่า?

หลายครั้งที่เราเคยทำสิ่งของสำคัญหายไปจากชีวิต เหตุการณ์เหล่านั้นล้วนแต่นำความเสียใจมายังชีวิตเรา ปริมาณในความเสียใจนั้นย่อมแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความสำคัญของวัตถุแต่ชิ้น

ถ้าหากว่าสิ่งที่หายไปจากชีวิตเราไม่ได้เป็นสิ่งของ หรือวัตถุ แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “คน” เราจะรู้สึกยังไง ???

ในความเป็นจริงเหตุการณ์เช่นนี้ล้วนเกิดขึ้นกับเราทุกคนมาแล้ว ทั้งนั้น หากลองคิดย้อนหลังไปให้ดีเราจะพบว่ามีคนมากมายที่เราหลงลืมทิ้งไว้ข้างทางเดินของชีวิต

ติ๋ว เพื่อนตอน ป.2 ที่เราชอบแกล้งเป็นประจำ
สมชายที่เคยโดดน้ำด้วยกัน
สังเวียน ที่แอบขี่มอเตอร์ไซด์ ไปเที่ยวด้วยกันครั้งแรกตอน ม.2
บรรจบ คู่แข่งจีบน้อง แต๋ว ตอน ม.5
เฉลิมชัย เพื่อนรวมคณะในมหาวิทยาลัย
ฯลฯ ...

คนเหล่านี้ได้แวะเวียนเข้ามาสร้างสีสัน แต่งเติมชีวิตของเราให้มีรสชาติ แล้วก็ผลัดเปลี่ยนกันห่างหายไป ซึ่งถ้ามองกลับกันเราก็เป็นส่วนหนึ่งเช่นกันในการ เติมแต่งชีวิตของผู้อื่น แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปถึงจุดหนึ่งที่เรียกว่า การลาจาก ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม เราก็ปฏิเสธมันไม่ได้ และสิ่งที่เป็นผลตามมาก็คือ การลบเลือนทางความรู้สึก มันจะค่อย ๆ จางหายไปพร้อมกับภาพความทรงจำ ยิ่งนานก็ยิ่งทำให้ภาพในหัว หม่น มัว นัว ลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง ความรู้สึกและภาพมันค่อย ๆ หายไป

เคยไหมที่เจอเหตุการณ์ พบเพื่อนเก่า ตอนประถม หรือ แล้วไม่กล้าเข้าไปทัก ไม่รู้จะเริ่มต้นในการเข้าไปคุยยังไง ทั้ง ๆ ที่มันก็คือ คนเดียวกับที่เรา ตบหัว กอดคอ ขี่หลัง กันในวันวาน

น่าแปลกใจที่ความรู้สึกที่หอมหวนกับเหตุการณ์น่าประทับใจในวันวาน มันลดลงเมื่อคนเราได้แยกจาก หรือแท้จริงแล้วความห่างเหิน มันบั่นทอนความรู้สึกและความทรงจำในวันวาน หรือว่าเป็นเราเองที่ทำมันหล่นหายระหว่างทางเดินของชีวิต เพราะเนื้อที่ในความทรงจำของเราถูกเบียดแย่งพื้นที่เพื่อใช้ในงานที่เราทำ ความเครียดจากเศรษฐกิจ การจดจ่ออยู่ในความสำเร็จของชีวิต สิ่งเหล่านี้หรือเปล่า ที่เข้ามาเบียดเสียดจนความทรงจำที่ดี ความรู้สึกที่แสนน่าประทับใจ มันตกไปจากหน่วยความทรงจำในใจเรา ใช่!!! “ในใจ” ไม่ใช่ “ในสมอง”

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะกลับไปตามเก็บเอาความทรงจำเหล่านั้นมาเก็บไว้ในลิ้นชักแห่งความทรงจำ หาพื้นที่เฉพาะเพื่อเก็บรวมรวบความรู้สึกดี ๆ ความน่าประทับใจต่าง ๆ ไว้ในชีวิต วันหนึ่งเมื่อเราเหนื่อยล้า หรือหมดแรง ไม่แน่ว่าการดึงลิ้นชักเหล่านี้ออกมาดู และค่อย ๆ ละเลียดความรู้สึกไปกับมัน อาจจะเป็นการเพิ่มพลังในการใช้ชีวิตของเราให้ต่อออกไปอีกวันก็ได้...



วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ส.ค.ส. หายไปไหน ???

ผมเกือบลืมไปว่าในช่วงชีวิตหนึ่งเคยมีประสบการณ์ร่วมกับ ส.ค.ส. ถ้าหากไม่ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งแล้วเจอคำว่า ส.ค.ส. ผมก็คงลืมไปแล้วว่า ผมเคยมีความรู้สึกดี ๆ ผ่านการ ส่งความสุข ไปยังคนอื่น ๆ

หากคุณเคยผ่านชั้นประถมศึกษามา แน่นอนในช่วงก่อนสิ้นปี คุณครูภาษาไทยมักจะให้เด็ก ๆ ในชั้นเรียนทำ ส.ค.ส. เพื่อ “ส่งความสุข” ให้กับคนที่รู้จัก ซึ่งมันจะทำมาจากกระดาษวาดรูปเล่มเล็ก ๆ แบ่งครึ่งแล้วพับอีกที ร่างภาพง่าย ๆ ด้วยดินสอแล้วระบายสี ไม่ว่าจะเป็นสีเทียนหรือสีไม้ ข้างในเว้นที่ว่างไว้ เมื่อคุณครูตรวจแล้วจึงค่อยเขียนข้อความลงไป เป้าหมายคือการ “ส่งความสุข” เป้าหมายในการส่งนั้นก็หลากหลาย บางคนเป็นเพื่อน บางคนนึกถึงพ่อแม่ ญาติพี่น้อง หรือบางคนนึกถึงคนในห้องเดียวกัน ซึ่งแน่นอน เป็นเพศตรงข้าม ผมยังจำความสุข ที่ได้จากการ “ส่งความสุข” ได้เป็นอย่างดี

เมื่อวันเวลาเปลี่ยนไปการ “ส่งความสุข” ของคนเราก็เปลี่ยนตาม ปัจจุบัน ส.ค.ส. ที่เมื่อก่อนเคยทำกันออกมาวางขายเกลื่อนกลาดในช่วงใกล้สิ้นปีนั้นไม่มีให้เห็นอีกต่อไป ภาพของการนั่งเขียน ส.ค.ส. เป็นโหล ๆ เพื่อส่งให้คนที่เรารู้จักก็หมดไปในปัจจุบันหากต้องการส่งความในใจ หรือถ้อยคำพิเศษให้ใคร หรือกลุ่มไหน ก็เพียงแค่กดโทรศัพท์ไปยังโหมด SMS แล้วก็พิมพ์ข้อความ เลือกรายชื่อที่ต้องการส่ง จะรายบุคคล หรือกลุ่มก้อน มากมายขนาดไหน ก็ส่งได้อย่างรวดเร็วทันใจ ไวปานรถไฟซิน-งันเซ็นในญี่ปุ่น แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ยิ่งวิธีการ “ส่ง” เร็วมากขึ้นเท่าไหร่ คุณค่าของสิ่งที่ส่งไปนั้นก็หายไปด้วย เมื่อก่อนกว่าจะส่งได้ไม่ว่าจะเป็น ส.ค.ส. ทำขึ้นเอง หรือ ส.ค.ส. ที่ซื้อมา แต่สุดท้ายก็ต้องใช้วิธีการเขียนข้อความลงไปอยู่ดี ซึ่งขั้นตอนนี้แหละเป็นมนต์เสน่ห์ ของสิ่งที่เรียกว่า “การส่งความสุข” อย่างแท้จริง

การที่ได้นั่งลงบรรจงเขียนสิ่งที่อยู่ภายใจ ให้กับใครสักคนเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องบรรจงกลั่นกลองจากหัวใจ ไปยังสมอง สั่งการมายังมือ ผ่านอุปกรณ์ขีดเขียนเป็นข้อความส่งผ่าน บุรุษไปรษณีย์ เพื่อไปถึงเป้าหมายแห่งการส่ง ช่างเป็นขั้นตอนที่เต็มไปด้วยการรอคอย ทั้งฝ่ายรับ และฝ่ายส่ง คุณค่ามันจึงเกิดขึ้นเมื่อได้ รอคอย แต่ในโลกปัจจุบัน ความเร่งรีบเบียดแย่งพื้นที่ความสุขแห่งการรอคอยไปจนเกือบหมดสิ้น ความรวดเร็วในการสื่อสารมีมากขึ้นผู้คนไม่สนใจคำว่ารอคอย ความสุขจึงเลือนหายไป ทำให้ ส.ค.ส. ที่ถูกมองว่าเต็มไปด้วยขั้นตอนยุ่งยากหายไปด้วย

แต่ถ้าลองมองย้อนกลับไปถามตัวเองดี ๆ ว่าความอุ่นใจทุกครั้งที่ได้จากกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่เรียกว่า ส.ค.ส. นั้น มันหายไปจากชีวิตนานเท่าไหร่แล้ว เราหลงลืมความสุขเช่นนั้นไปนานเท่าไหร่ ???

คำตอบคงอยู่ในใจ ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้พบกับความสุขอย่างเช่นทุกครั้งที่เปิดมันออกอ่านได้อีกหรือไม่???

เพราะว่า ส.ค.ส. ไม่ได้หายไปแค่ในสังคม แต่มันได้หายไปจากใจของเราเสียแล้ว...

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2551

สองฝาก...

ภาพชายวัยกลางคนนั่งโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือดนอนอยู่ข้างถนน ขาข้างขวาขาดวิ่นเลือดแดงฉานเปรอะริมบาตวิถี ผู้คนต่างวิ่งหนีเอาตัวรอด เสียงปืนดังขึ้นเป็นระยะ ๆ แก๊สน้ำตาพวยพุ่งเต็มท้องถนนทำให้ผู้คนต่างปาดน้ำตาของตนด้วยความปวดแสบปวดร้อน บ้างถือผ้าขนหนูปิดหน้า บ้างใช้ผ้าคลุมหน้าไว้ บ้างขว้างปาขวดตอบกลับด้วยความโกรธแค้น

แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่แสงแปลบปลาบยังคงแล็บออกมาจากปลายกระบอกปืนอย่างไม่ขาดสาย การปะทะยืดเยื้อมาจนถึงสองทุ่ม แสงไฟสลัวข้างทางยังคงพอช่วยให้หมอ และพยาบาลได้ช่วยคนเจ็บคนป่วยได้บ้าง เสียงหวอดังกังวานไปทั่วท้องถนนเร่งนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะตอนนี้ท้องถนนเต็มไปด้วยสิ่งกีดขวาง

ชายสองคนหิ้วปีกชายวัยไล่เลี้ยกันเข้ามายังหน่วยพยาบาล มือข้างขวาห้อยรุ่งริ่งจนไม่เหลือสภาพเดิม หญิงชราคนหนึ่งทรุดลงกับพื้นถนนด้วยแรงระเบิดชายหนุ่มคนหนึ่งพยายามประคองเธอลุกขึ้น เด็กหนุ่มถือขวดน้ำพยายามขว้างเข้าใส่เจ้าหน้าที่ ลุงคนหนึ่งพยายามช่วยภรรยาให้ออกมาจากควันแก๊สน้ำตา ชายฉกรรณ์ถือโทรโข่งสั่งการผู้ชุมนุม คนเสื้อเหลืองจำนวนมากวิ่งหนีออกมาจากจุดชุมนุม ในมือคนเหล่านั้นว่างเปล่า แต่ในใจคงเต็มไปด้วยคำถาม

"ท่านครับเราต้องไปแล้ว" เสียงชายในชุดซาฟารีบอกกับเจ้านาย

ผู้เป็นนายลุกขึ้นจากหน้าจอทีวี เดินออกจากห้องด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไร้บทสนทนาใด ๆ ...

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2551

แดน ๗

เมื่อสองเท้าก้าวข้ามธรณีประตูเหล็ก ผ่านกำแพงสูงใหญ่ความรู้สึกสะทกสะท้านแผ่ไปทั่วร่างในใจพลันหวั่นไหวไม่คิดว่าจะได้เข้ามายังดินแดนแห่งการคุมขังนี้ เสียงประตูเหล็กถูกปิดลงผลักดันให้ก้าวต่อไปได้เริ่มต้นขึ้น ลมแรงพัดโชยช่วยผ่อนคลายความกดดันภายในใจลงบ้าง บรรยากาศในนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่ แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลังความสวยงามที่ถูกจัดแต่งขึ้น หรืออาจเป็นเพราะคนที่นี่ต้องการความผ่อนคลายทางด้านจิตใจ และความรู้สึก สิ่งเหล่านี้จะช่วยบำบัดอารมณ์พวกเขาได้หรือไม่ ? ผมเก็บคำถามไว้เฉกเช่นความหวาดหวั่นภายใน

ผมไม่กล้าที่จะสบตาเขาเหล่านี้ ไม่ใช่เพราะความกลัวแต่เป็นความรู้สึกหดหู่ ไม่รู้จะแสดงสีหน้าและแววตาเช่นไรดี จะยิ้มทักทายด้วยไมตรี หรือชื่นชม หรือ ยิ้มแสดงความเสียใจให้กับเขา มันควรจะเป็นแววตาแบบไหนกันที่พวกเขาต้องการผมสังเกตเห็นบางอย่างที่ซ่อนอยู่หลังร้อยยิ้มและความสนุกสนาน ในบริบทความรู้ของผมเรียกมันว่า “ความเจ็บปวด” ซึ่งผมไม่มีวันรู้ความหมายที่แท้จริงของคำนี้ ณ สถานที่แห่งนี้ การฝ่ากำแพงความรู้สึกที่ซ่อนอยู่หลังดวงตาเหล่านี้ คงยากกว่าการก้าวข้ามกำแพงแห่งดินแดนต้องห้ามแห่งนี้มากมายหลายเท่านัก

ผมไม่อยากรู้สาเหตุในการเข้ามายังดินแดนแห่งนี้ของพวกเขา แต่ผมอยากรู้มากกว่าว่า พวกเธอจะใช้ชีวิตอย่างไรต่อไปเมื่อออกจากสถานที่แห่งนี้ ช่วงเวลาในนี้กับโลกภายนอกนั้นย่อมหมุนด้วยอัตราเร่งไม่เท่ากัน ถ้าหากว่าโลกที่พวกเขาอยู่ตอนนี้เดินไปอย่างเอื่อยช้าไร้จุดหมาย แล้วเวลาออกไปจากที่นี่แล้วต้องพบเจอกับโลกแห่งความเป็นจริงที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว แล้วพวกเขายังคงจะก้าวไปทันมันหรือไม่ พวกเขาจะสามารถปรับก้าวแห่งจังหวะชีวิตของพวกเขาให้ตรงกับโลกแห่งความเป็นจริงได้หรือไม่ ? ยังคงจะมีใครที่ช่วยพยุงยามที่พวกเขาปรับก้าวย่างชีวิตหรือเปล่า ? จะมีคนในโลกภายนอกรอคอยพวกเขาอยู่หรือไม่ ? หรือว่าพวกเขาถูกลบเลือนความทรงจำจากสังคมภายนอกผ่านวันเวลาที่ล่วงเลย...

พวกเขาบางคนใช้ชีวิตในนี้มานาน นานเสียจนไม่กล้าที่จะเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริงภายนอก เพราะมันคงยากนัก ที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่เมื่อเหลือเวลาในชีวิตไม่ถึงหนึ่งในสี่ของเวลาในโลกนี้ หลายคนไม่อยากออกไปจากที่นี่ สิ่งที่ผู้คนมองว่าน่ากลัว แต่สำหรับบางคนมันคือความรู้สึกปลอดภัยสำหรับเขา โลกสองแห่งนี้ถูกกั้นไว้เพียงแค่กำแพงสูงไม่กี่เมตร แต่ทำไมช่วงเวลา และความหมายในการใช้ชีวิตช่างต่างกันลิบลับ

ไม่น่าเชื่อว่าอิทธิพลแห่งศรัทธาในการดำเนินชีวิตจะถูกก่อขึ้นสูงยิ่งกว่ากำแพงที่กั้นเสียอีก มันแยกโลกให้เป็นสองใบได้ และในแต่ละด้านล้วนมองไม่เห็นเหตุผลของการใช้ชีวิตในอีกด้านได้ชัดเจนนัก ได้เพียงแค่จ้องมองซึ่งกันและกัน ผ่านความจำกัดของตัวเอง หากการก้าวเข้ามาในที่แห่งนี้จะช่วยให้ผมเข้าใจอะไรได้สักเพียงเล็กน้อย นั่นก็จะเป็นความยินดีเป็นอย่างยิ่ง

แต่ว่าทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ ไม่ได้ต้องการเพียงแค่การมองเพียงอย่างเดียว การเข้าไปสัมผัสด้วยรักต่างหากที่จะช่วยเยียวยาความขุ่นหมองของโลกได้...