วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หนาว...

อากาศหนาวแล้ว ดูเหมือนทุกคนจะดีใจ
สังเกตได้จาก การโพสต์ข้อความในอินเตอร์เน็ต และจากสื่อต่าง ๆ

หลายคนชอบฤดูนี้ และถือโอกาสที่จะลาพักร้อน ทั้ง ๆ ที่อยู่ในฤดูหนาว
เพื่อเป็นการได้พักผ่อน และไปเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ

หลายคนมีความสุขกับการได้ รื้อเอาเสื้อผ้าที่นอนแช่อยู่ในตู้ ออกมา
เพื่อเตรียมรับกับลมหนาวที่กำลังมาเยือน

หลายคน ออกไปช็อปปิ้ง รับแฟชั่นหน้าหนาว อย่างมีความสุข

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ของ ช่วงเวลานี้

ข่าวการตายของแม่เฒ่าวัย แปดสิบ ปี
เนื่องมาจากรับสภาพอากาศที่หนาวจัดบนยอดดอยไม่ได้

ภาพเด็กน้อยชาวเขา ใส่เสื้อบาง ๆ นั่งผิงไฟกับครอบครัว
ท่ามกลางสายหมอกอันหนาวเย็น

หญิงที่กำลังคลุมผ้าห่มบาง ๆ ให้กับลูกน้อยวัย สามเดือนเศษ
ด้วยมือที่สั่นเทาจากความหนาวเหน็บ

เหตุการณ์เหล่านี้ เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน แต่ ต่างพื้นที่

ไม่มีใครบอกเหตุผลของสิ่งที่เกิดขึ้นได้

หลายเหตุการณ์ มักจะมี สองด้านเกิดขึ้นเสมอ
เรามักจะบอกว่า เวลาเจอเรื่องร้าย ๆ ให้มองหาในสิ่งดีของเหตุการณ์นั้น ๆ
เพราะฉะนั้น เวลาเจอเรื่องดี ๆ ก็น่าจะมองหาสิ่ง ร้าย ๆ ในเหตุการณ์นั้น ๆ ดูบ้าง
เผื่อบางที เราอาจจะเข้าใจอะไรบางอย่างมากกว่าที่เป็นอยู่

ลองมองชีวิตในอีกหลายมิติ ที่ไม่เคยมอง
แล้วจะพบ อีกหลาย ความรู้สึก ที่ไม่เคยสัมผัส

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วันสิ้นโลก

ไปดูหนัง 2012 The end of world มา หลายคนบอกหนังสนุก ตื่นเต้น
ก็สมกับคำร่ำลือ อลังการงานสร้างดี

แต่คงพูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นหนังที่ดี...

ในตัวหนังพูดถึงความน่ากลัวของวันสุดท้ายของมวลมนุษยชาติ
และโลกที่ต้องเผชิญกับความหายนะ ครั้งยิ่งใหญ่

หลายคนคงคิดว่า หนังเรื่องนี่ทำ โอเวอร์ ซึ่งตากจากหลายคนที่ เชื่อ ว่ามันจะเกิดขึ้นจริง
และนี่ไม่ใช่ประเด็นใหม่ในการถกเถียง

ในหลายศาสนาทำนายถึง "วันสิ้นโลก" รวมไปถึง บันทึกต่าง ๆ
ในหลาย ๆ ความเชื่อก็มีการบันทึกไว้เช่นกัน
น่าสนใจที่หากวันนั้นเกิดขึ้นจริง ๆ เราจะทำเช่นไร

มีสิ่งหนึ่งที่ผมประทับใจในหนังเรื่องนี้คือ หนังได้ถ่ายทอดความรู้สึกที่แท้จริง
เมื่อถึงเวลาที่ มนุษย์ จนตรอก พวกเขาต่างแสดงธาตุแท้แห่งความเป็นคนออกมา ต่าง ๆ กัน
ในยามที่ ชีวิตไม่มีทางให้เลือก

หลายครั้งเราพูดได้ว่า "ฉันจะเป็นคนอย่างนั้น" "ฉันจะทำอย่างนี้" เมื่อเวลานั้นมาถึง
แต่ในความเป็นจริงเรา คาดเดาไม่ได้หรอก ว่าเมื่อเวลา และ สถานการณ์จริงมาถึง
แล้วเราจะทำอย่างไร

ในยามที่ชีวิตคุณ ไม่มีทางให้เลือกมากนัก และสถานการณ์ในชีวิต
ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคาดการณ์
เมื่อนั้นแหละคือเวลาที่คุณจะแสดงตัวตนที่แท้ออกมา

ไม่มีใครบอกได้ว่า "คุณจะเป็นเช่นไร"
เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครจะบอกได้หรอกว่า "โลกจะแตก" วันไหน ???

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ฉันกลับมาแล้วนะ...

สวัสดี ความคิดสร้างสรรค์

หลังจากที่เราไม่ได้เจอกันนาน หวังว่าคงสบายดีนะ
ขอโทษที่อยู่ ๆ เราก็หายไป โดยไม่บอกไม่กล่าว
พอดี อยากใช้ชีวิตอยู่กับตัวตนของตัวเอง

ได้อยู่กับตัวเองแล้วก็ได้เรียนรู้จักตัวเองขึ้นมาก
รู้จักที่จะผ่านพ้นอะไรไปได้ด้วยตัวเอง
ไม่หวังพึ่งพา สิ่งแวดล้อมจนเกินไป
ชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้แหละ "ไม่สำเร็จรูปเหมือนบะหมี่ หรอก"

แต่ถ้าดูให้ดี การปรุงชีวิตก็สนุกกว่าการ ทำบะหมี่ นะ
มีอะไรให้ใส่เข้าไปมากกว่า ผงปรุงรส สองสามซอง ที่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมี

แต่สิ่งหนึ่งที่ ชีวิต กับ บะหมี่ เหมือนกัน คือ
เมื่อบะหมี่ โดนน้ำร้อนเข้าไป ก็ จะมีการเปลี่ยนสถานะ ทำให้คนบริโภคได้
ชีวิตก็เช่นกัน เมื่อเจออะไร ร้อน ๆ หรือ ปัญหา ก็จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป
บางคนเจอปัญหา ไม่รู้จะแก้ยังไง ก็หาทางออกผิด ๆ
ต่างจากบางคน ที่มองว่า ปัญหาคือ โอกาส ที่จะพัฒนาชีวิตให้เข้มแข็ง

ก็นั่นแหละ นะ สิ่งเหล่านี้แหละ ไม่ว่าจะดี หรือ ร้าย ก็ล้วน
หลอมรวมกัน เป็นคำว่า "ชีวิต" ไงละ
เราว่า "ชีวิต" มันมีเสน่ห์ ก็ตรงที่ ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
เลยทำให้เราต้องเรียนรู้ที่จะผ่านอะไร ๆ ไปให้ได้อย่างตื่นเต้น

วันนี้ตั้งใจว่า จะกลับมามีความสัมพันธ์กับเธออีกครั้ง
แต่ก็สัญญาไม่ได้ว่า จะไม่หายไปอีก
เพราะเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร

ชีวิตมันก็ ตื่นเต้นอย่างนี้แหละ

เธอรู้สึกตื่นเต้นเหมือนฉันไหม "ความคิดสร้างสรรค์"








วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ดีใจจัง...

วันนี้มีเรื่องราวดี ๆ ให้ได้ดีใจ...
เมื่อพบว่างานที่ส่งเข้าประกวด ใน write shot story award 2552
ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนี่งในเรื่องสั้นที่ถูกคัดสรรค์ จากบรรณาธิการ
เลยอยากเอาเรื่องนี้มาแบ่งกันอ่ะนะครับ ตามลิงค์นี้เลย
ชื่อเรื่อง "ทุ่งเปลี่ยนสี" อยู่หน้า 36-37 นะคร้าบบบบบ...

http://issuu.com/thai_writer_magazine/docs/wassa_03

มีคำติชม ยังไง ก็ บอกได้นะครับ ...

:D

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ชีวิต...

เมื่อชีวิตเจ็บปวด ยวดยิ่ง
หมดซึ่งสิ่งได้สร้าง สรรหา
จักสู้ หรือ หยุด ชีวา
ใครเล่าประจักษ์ รู้ได้

กลิ่นมรณาเยี่ยม เยือนกาย
ปัดป้อง ฤ ขัด ไป่ รู้
สัจธรรมแจ้งเห็น ในตน
ชีวิตคนไร้ซึ่ง เที่ยงแท้

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552

บันทึก...

เมื่อเดินมาถึงทางแยก ไม่มีทางปฏิเสธที่จะต้องเลือก

ถ้าคุณตัดการใช้เวลากับสิ่งไร้สาระ คุณจะมีเวลาทำในสิ่งมีสาระ มากขึ้น

มันจะช้า ถ้าต้องรอ คอย ...

ไม่มีเรา เขาก็อยู่กันได้ จงปล่อยวาง ซะบ้าง

ถ้าเหนื่อย เครียด เศร้า ฯลฯ ลองหา ไอติม กินซักแท่ง เด๋วก็ดีขึ้นเอง

อย่าโกหก เพราะการ โกหก เป็นทางออกที่ โง่ มาก

บางที การอยู่กับความเหงา ก็ เข้าท่า ดีเหมือนกัน

ยิ่งเดินมาเหนื่อย จุดหมายยิ่งมีคุณค่า

ถ้ากดดันมาก ๆ ก็หาที่เงียบ ๆ แหกปาก เพื่อระบายซักหน่อย

เมื่อเจอของดีที่สุด เราจะยอมทิ้งสิ่งที่ดีระหว่างทาง

แม้เป็นสิ่งเก่า ถ้าหากมองในมุมมองใหม่ ก็มักจะได้อะไรใหม่ ๆ เสมอ

มันก็แค่ วัน ห่วย ห่วย วันหนึ่งเท่านั้น...เดี๋ยว ก็ผ่านไป

ไม่ใช่สมองที่จะเข้าใจว่า 1+1 = 1 หากแต่เป็นหัวใจ

1 มื้อที่ฟุ่มเฟือย เท่ากับ ส่วนหนึ่งของชีวิต ที่อดอยาก

คุณอาจได้มาซึ่งชัยชนะ แต่ คุณจะสูญเสียความสัมพันธ์ที่ดี

ความคุ้นเคย ไม่ได้ ลดทอน ความกลัวเสมอไป

จินตนาการ ลดทอนความเครียด ทางตรรก ได้

อย่ากด เมม เบอร์โทรศัพท์ ขณะที่คุยโทรศัพท์ เพราะเสียงมันจะน่ารำคาญสำหรับคู่สนทนา ...

อย่าใช้บริการ รอ สาย เพราะไม่มีเหตุผลที่ดีพอ ที่จะให้อีกคนต้องมารอ เมื่อคุณคุยกับอีก คนหนึ่ง

เมื่อใบไม้ ร่วงหล่น มันจะผลิใบอ่อน มาเพื่อดำรง ชีวิตต่อไปเสมอ

การพิมพ์ "555+" ในการ แชท สันนิฐานว่า มันต้องมาจากความผิดพลาด ก่อน แน่ ๆ

เคยไหม เมื่อนึกถึงความหลัง แล้ว "อมยิ้ม" กับมัน

วิธี "คิด" มีผลต่อการใช้ชีวิต ของคน

มาตรฐานของคำว่า "คุณค่า" แตกต่างกันไป ตามการให้ "ความสำคัญ"

มีร้อยวิธีคิด แต่มี เพียงหนึ่งวิธี ที่จะเลือกปฏิบัติ ในแต่ละครั้ง

เมื่อวาน เป็น อดีต ของ มะรืน แต่วันนี้ เป็นอดีตของ พรุ่งนี้

ศรัทธา เป็นแรงผลัก เพื่อไปถึง "ความหวัง"

มีข้อแตกต่างระหว่าง "ไม่ทำบาป" และ "ไม่มีโอกาสทำบาป"

อย่าให้ "อายุ" ลดทอนความเป็น "เด็ก" ในตัวคุณ

"ความรัก" เป็น แท่นชาร์ต แห่ง "ชีวิต"

เดินคนเดียว อาจจะ โดดเดี่ยว แต่ ก็มีเวลาที่จะมองความงดงาม ริมทาง

ความเคยชิน เป็นยาขม แห่ง อคติ

ไม่มีแมวตัวไหนใส่แว่น เพราะมันไม่สนใจในสิ่งที่สายตามองเห็น

สัญชาติญาณ เกิดมาจาก ความจำเป็นในการอยู่รอด


...



มีสองเหตุผลของคนอ่าน บทความนี้ หนึ่ง "ให้ความสำคัญ" สอง "ว่างมาก"

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552

"ห้วงภวังค์..."

ฝนหยดแรกตกกระทบผืนป่า ภูเขาใหญ่น้อยรายเรียงโอบรอบซึ่งกันและกัน เสียงฟ้าร้องสนั่นทั่วแผ่นฟ้า นั่งเพียงลำพัง บางครั้งการอยู่คนเดียวก็ดีกว่าอยู่หลายคน น้ำฝนที่แทรกซึมผ่านผืนดินขับไล่ความร้อนระอุของอุณหภูมิเมื่อตอนกลางวันกลายเป็นไอระเหยขึ้นสู่เบื้องบน แล้วก็หายวับไปจากศักยภาพการมองเห็น

ผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านไป ภาพตัดกับไอฝน และละอองน้ำที่ติดกับแว่นทำให้มองได้ไม่ชัด หากมีเทคโนโลยีความเร็วสูง ผมอยากใช้มันในการเคลื่อนที่เข้าไปใกล้เธอให้มากกว่านี้เพื่อให้รู้ว่าเธอเป็นใคร แต่คนเราก็มักเป็นเช่นนี้เสมอ บางครั้งสิ่งที่มีก็มักไม่ได้ใช้ แต่เมื่อขาดหายไปมักจะโหยหา

นั่งนิ่งอยู่เนิ่นนาน อยู่ในภวังค์ความคิด

สายฝนหยุดไปแล้ว แต่ความคิดฟุ้งซ่านยังคงหยาดหยดไม่ขาดสายในสมองของผม ดอกไม้บานกลางแดดกล้ายามสายฝนพัดผ่าน แต่คราบความชุ่มชื้นก็ยังคงสะท้อนเงาแห่งอดีตให้เตือนความทรงจำถึงสิ่งที่ผ่านพ้น ผมเรียกร้องสิทธิความเป็นคนมาโดยตลอดแต่หามีใครที่ให้คำตอบกับผมอย่างแน่ชัด ผู้คนโหยหาสิทธิของตนโดยยังไม่รู้ถึงของเขตที่ตนพึงได้รับด้วยซ้ำ บางที่คนเราก็ไม่ได้ต่างไปกับรองเท้าคู่หนึ่งที่ถูกเหยียบย่ำเพียงเพราะใครคนหนึ่งไม่ต้องการให้ตนเจ็บปวดในบางส่วนของชีวิต เสียงเด็กร้อง ภาพผู้คนหิวโหย คนชรา ไร้โอกาส ไร้ที่พึ่ง ใครเล่าจะล่วงรู้เหตุผลของพวกเขา พวกเขาคงไม่เข้าใจความหมายของชีวิต และไม่สนคุณค่าของสิทธิมากไปกว่าอาหารซักหนึ่งมื้อ “มีบางอย่างที่แตกต่างระหว่างสองสิ่ง เพียงเพราะแค่สิ่งสมมติที่มนุษย์กำหนดขึ้น” บางครั้งเราให้คุณค่าของสิ่งสมมติมากกว่าคุณค่าของจิตใจด้วยซ้ำนั่นคือ ”ความไม่เท่าเทียม”

ด้วย อีโก้ ผมจึงจากเมืองใหญ่มาอาศัยยังถิ่นห่างไกลสิ่งสมมติทั้งหลาย ผมไม่ชอบการใส่หน้ากากผมเลือกที่จะเดินไปยังจุดหมายแห่งอุดมการณ์มากกว่าหยุดนิ่งกับความสำเร็จที่จอมปลอม การเดินของผมเต็มเป็นไปโดยความหวัง ผมโหยหาบางอย่าง บางอย่างที่หลายคนบอกปัดเมื่อห้วงจิตสำนึกเฝ้าร้องฟ้องผิด ผมไม่สามารถทนได้ ผมโหยหากระหายที่จะไปถึงที่นั่น วันหนึ่งมันจะงดงามเหมือนต้นไม้ที่ออกดอกผล จะรอวันนั้นแม้ว่าต้องฟันฝ่าความเย็นชา ต่อสู้กับสิ่งที่อยู่เหนือความคิด “สติสยบความวุ่นวายเสมอ”
ผมนั่งปลดปล่อยความคิดออกไปไร้ขอบเขต...

พยายามปฏิเสธทุกอย่างที่ถ่วงรั้งจากอุดมการณ์นั้น โลกยังคงหมุนไปแต่ทว่าผมกลับอยากหยุดนิ่ง เสียงจากภวังค์ความคิด “ฉันรู้สึกเฉย ๆ” ใครคนหนึ่งพูดไว้ ใช่มันงดงามไม่มีที่ติ เธอไม่เคยผิดเลย หลายคนไม่กล้าเอื้อนเอ่ย บทสนทนาของเราในครั้งเก่าก่อน

“มนุษย์ย่อมมีสองด้าน”
“ไม่ ทุกอย่างล้วนมีสองด้าน”
“คิดอย่างนั้นจริงหรือ?”
“ใช่” มันดูง่ายแต่จริงใจ
“เดินหลายคนไม่เหนื่อย จริงหรือ?”
“ฉันเคยเดินคนเดียวแต่ไม่รู้สึกเหนื่อย กลับรู้สึกถึงความงดงาม”
“ไอ่ อ้วน !” เธอสบถ
“ฉันทำเต็มที่แล้ว” ...

แม้ไม่อยากมอง เราก็ยังคงเห็นอดีตเสมอ แม้มันจะหายไป แต่นั่นคือ “ชั่วคราว” หาใช่ “นิรันดร์กาล” เพียงเป็นฉัน เพราะ...
ไร้คำตอบใด ๆ แม้ความเงียบงันก็ไร้ความหมายใด
หนึ่งคนนั้นที่ผ่านไปได้กลับมา ไม่มีสายฝนไม่มีสิ่งขวางกั้นศักยภาพการมอง เป็นเธอ แต่ยิ้มหายไปจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อมีชายสองหญิงหนึ่ง หลีกไม่พ้นการสูญเสีย

ฉันนั่งเพียงลำพัง...

ใบไม้ร่วงหล่น อีกฤดูมาเยือน ไม่มีการเหลียวมอง ไม่มีการแก้ไข เมื่อผ่านแล้วย่อมผ่านเลยเพราะฉะนั้นจงทำวันนี้ ให้เต็มที่ คิดก่อนกระทำ ฤดูหนึ่งบดบังฤดูหนึ่ง บดบังแม้ความทรงจำเดิม ๆ จึงทำให้ไม่เห็นเธอ รวมทั้งเธอผู้ผ่านมาก็ลาลับหายไป ดอกไม้กลับมาบานสะพรั่งอีกครั้ง กลับกลายจากเปลี่ยวเหงาเป็นชีวิตใหม่ น่าเชยชมยิ่งนัก ดอกไม้เมื่อยามแรกแย้ม

พลบค่ำเริ่มมาเยือน หรีดเรไรขับขานแซงแซ่ บางอย่างตกลงมาจากต้นไม้ เป็นของที่ตกหรือว่ามันถูกทิ้งอย่างไม่เหลียวมอง บางสิ่งไม่อยากเจอ และแล้วก็ต้องเจอ

ความเงียบเหงามาเยี่ยมอีกครา...

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

"นิทานดวงอาทิตย์"

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว... ในห้วงอวกาศอันมืดมืด ไร้สิ่งมีชีวิตใด ๆ ถือกำเนิด หมู่ดาวใหญ่น้อยส่องแสงระยิบระยับอวดความงามกันอย่างมีความสุข ดาวแต่ละดวงต่างภาคภูมิใจกับแสงสีอันงดงามของตน แต่มีดาวดวงหนึ่งที่แตกต่าง มันมีขนาดใหญ่มหึมา แต่หาได้มีแสงสีอย่างดาวดวงอื่น ทุก ๆ วันมันจะคอยจ้องมองความงามของบรรดาเพื่อนดาวทั้งหลายอย่างมีความสุข มันชอบที่จะทำให้บรรดาเพื่อน ๆ หัวเราะเพราะทุกครั้งที่ดาวเหล่านี้หัวเราะ และมีความสุขพวกมันก็จะคอยเปล่งประกายเจิดจรัสส่งความงดงามออกมาให้ดาวดวงใหญ่ได้เห็นอยู่เสมอ
อยู่มาขณะหนึ่ง ที่ดาวดวงใหญ่กำลังมีความสุขกับการได้จ้องมองแสงสวยของดวงดาวทั้งหลาย พลันเสียงหนึ่งปรากฏจากห้วงความมืดถามดาวดวงใหญ่ว่า
“ทำไมเจ้า ถึงไร้แสงสวยเช่นดาวดวงอื่นเล่า ?”
“แล้วใยข้าต้องมีแสงด้วย ในเมื่อความสุขของข้าคือการได้จ้องมองความงามของผู้อื่น”
“จริงหรือ ที่เจ้ามีความสุขดีแล้ว”
“ข้าว่าถ้าดาวดวงใหญ่อย่างเจ้า มีแสงส่องประกายออกมาละก็ เจ้าต้องเป็นดาวที่สวยที่สุดเป็นแน่”
“จริงหรือ !!!” ดาวดวงใหญ่เริ่มคล้อยตาม
“ก็จริงนะสิ”
“แล้วข้าต้องทำอย่างไร ถึงจะมีแสงเจิดจรัสเช่นดาวดวงอื่น”
“เพียงแค่เจ้านำพาร่างอันใหญ่โตของเจ้าเข้ากระทบกับดาวดวงอื่นที่มีแสง ไม่นานแสงเหล่านั้นก็จะติดตัวเจ้ามา จนทำให้เจ้ากลายเป็นดวงดาวที่เจิดจรัสที่สุดในจักรวาล”
สิ้นประโยค เสียงนั้นพลันหายเข้าไปในความมืดมิด ทิ้งไว้เพียงดาวดวงใหญ่ กับความฮึกเหิมใจที่มี...
ดาวดวงใหญ่มิรอช้า รีบพุ่งเข้าหาหมู่ดาวใหญ่น้อยหวังที่จะกระทบเอาแสงจากดวงดาวเหล่านั้นคิดหวังว่าให้ผู้อื่นแบ่งปันความงามให้กับตัวเอง ทุกครั้งที่กระทบแม้จะเจ็บปวดก็จะยอมทนเพื่อความงดงามของตน ดวงดาวทั้งหลายต่างตกใจในสิ่งที่ดาวดวงใหญ่ได้กระทำต่างพยายามหลีกหนีแต่มิอาจพ้น ต่างเจ็บแต่ก็จำต้องฝืนทนอยู่เป็นเวลาช้านาน
บัดนี้เป็นจริงดังคำบอกกล่าว ดาวดวงใหญ่จรัสแสงเจิดจ้า ทั่วจักรวาลมิมีใครเทียบเท่าเขาได้ มันจึงเริ่มเปล่งแสงส่องสว่างกว้างไกล ดาวทุกดวงขนานนามให้ว่า “ดวงอาทิตย์” ยิ่งนานวันแสงนั้นยิ่งมาก และทุกครั้งที่มันเปล่งประกาย ความร้อนจากแสงนั้นทำให้มิอาจมีใครเข้าใกล้ ดาวทุกดวงจึงพากันหนีห่างมันไป แม้วามันมีแสงที่งดงามกว่าดาวดวงใดในท้องนภา แต่ทว่า ความสุขที่เคยมีกลับหดหาย เพื่อนดาวน้อยใหญ่ที่เคยเปล่งประกายให้มันเห็นนั้นมิอาจอยู่ใกล้ บัดนี้ไม่มีใครอยู่เคียงข้างกายมันได้อีก
เมื่อรู้ตัวอีกทีมันก็มิสามารถมองเห็นสิ่งใดได้อีก ด้วยแสงอันแรงกล้าของมันนั้นที่บดบังแสงของบรรดาดาวดวงอื่นที่เคยเปล่งประกาย แม้จะสุดแสนเสียใจแต่ก็สายสำหรับการกลับตน

วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2552

"ฟ้าใหม่"

วันวาน หมุนเปลี่ยนเวียนผัน
ชีวิตคน ล้มลุกคลุกคลาน ผ่านพ้น
เจ็บปวด รวดร้าว ฝืนทน
รอวัน ฟ้าหม่น มลาย

ไม่มีทุกข์ ใด ใต้หลาเป็นนิรันดร์
เพียงก้าว ข้ามมันผ่านพ้น
ชีวิต ผลิช่องามชล
ฟ้าใหม่ มิหม่น งดงาม...

วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

“ชีวิต”

ฉันล่องลอย ฉันหงอยเหงา
มองไปรอบกาย เห็นใบไม้ร่วงหล่น
ชีวิตคนเราก็เช่นนั้น
ต่างกันเพียงแค่ เวลาแห่งการร่วงสู่ห้วงทิวานิรันดร์
มิอาจมีผู้ใดฝืน ขืนขัดสัจจะแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า

ฉันค้นหาคำว่า “ความหมายแห่งชีวิต”
เสาะแสวง เพื่อได้พบ
เมื่อฉันตื่นรู้ ก็พานพบว่ามิได้เข้าใจอะไร
มากไปเสียกว่า ยามตื่นรู้แรกบนโลกนี้
จะมีอะไรอีกเล่า ในคำว่า “ความหมายแห่งชีวิต”
นอกเสียจาก “ชีวิต” อันเต็มไปด้วย “ความหมาย”

วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ความทรงจำ...

หากความทรงจำของคุณ ถูกลบเลือนไปอย่างสูญสิ้น คุณจะทำเช่นไร ???

หลายครั้งเรามักหลงลืม...ลืมล็อกห้อง ลืมของไว้ในห้องน้ำ ลืมกินยา ลืมทำงานที่ค้างคา ลืมวันเกิดเพื่อน ลืมว่าวันนี้นัดใครไว้ ลืมชื่อคนที่เคยรู้จัก สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ในชีวิตเราทุกคน มันเป็นผลของการที่สมองในส่วนของความทรงจำทำงานผิดพลาด

ผมได้มีโอกาสดูหนังเรื่องหนึ่งที่ชื่อว่า “A Moment to Remember” จึงได้เข้าใจความเจ็บปวดของการถูกลบความทรงจำ ในหนังพูดถึงประเด็นของการถูกลบเลือนทางความทรงจำได้อย่างน่าสนใจ และนำเสนอว่ามันเจ็บปวดแค่ไหนเมื่อเราต้องสูญเสียความทรงจำ

ผมเคยได้ยินประโยคที่ว่า “อยากจะลืมอดีต” “ฉันไม่อยากจดจำวันเวลาเก่า ๆ ที่เลวร้าย”

แน่นอนความทรงจำในชีวิตเรา ล้วนมีทั้ง ดี และ ไม่ดี แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นมาก่อรวมกันเป็น “ประสบการณ์แห่งคำว่า ชีวิต” และทำให้เรา เป็น เรา ได้ในทุกวันนี้ ความทรงจำที่ไม่ดี อาจทำให้เราเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึงมัน แต่ความทรงจำที่ดี ก็ทำให้เราอดที่จะอมยิ้มไม่ได้ยามที่ได้หวนระลึกถึงเช่นกัน อยู่ที่ว่าเราเลือกที่จะนึกถึงสิ่งไหนมากกว่ากัน

ปัจจุบันมีการวิจัยถึงเรื่องการลบความทรงจำออกจากสมองของมนุษย์ งานชิ้นนี้ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ในทางวิทยาศาสตร์ แต่ยังมีแนวโน้มที่จะเป็นจริงได้ในอนาคต ถ้าหากวันนั้นมาถึงจริง หลายคนคงไม่ต้องเจ็บปวดในการที่จะต้องทรมานกับความทรงจำที่ไม่ดีอีกต่อไป และแน่นอนชีวิตเราก็คงเหลือเพียงแต่ความทรงจำที่แสนหวาน และโลกของทุกคนคงเป็นสีชมพู

แต่หากคิดในอีกแง่มุมหนึ่ง การที่คนเรามีแต่ความทรงจำในด้านดี ยามเมื่อเราจะต้องเจอกับเหตุการณ์เดิม ที่มันเคยทำให้เราต้องเจ็บปวดหัวใจ เราก็คงต้องเผชิญกับมันโดยไม่มีสามัญสำนึกเก่า ที่จะมาเตือนเราว่า “เรื่องแบบนี้เราเคยเจอมาแล้วนะ ไม่ควรทำอีกนะ” และแน่นอนเราก็ต้องตกอยู่ในวังวนแห่งเหตุการณ์เช่นนี้ไปเรื่อย ๆ

การถูกลบเลือนความทรงจำ น่ากลัวกว่าการ จดจำความทรงจำนั้นไว้ เราอาจจะเจ็บปวดเมื่อเราคิดถึงมัน แต่แน่นอน มันจะเป็นภูมิคุ้มกันอย่างดีให้กับชีวิตเรา ไม่ให้เราต้องคอยมาเจ็บปวดในแบบเดิม ๆ อีกต่อไป

ผมชอบประโยคหนึ่งในหนังที่พูดว่า “เมื่อความทรงจำถูกลบเลือน จิตวิญญาณก็สูญสิ้นไปด้วย” เราคงไม่อาจรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของการสูญสิ้นจิตวิญญาณของการถูกลบเลือนความทรงจำได้ จนกว่าเราจะต้องเจอกับสถานการณ์นั้นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2552

"ความรัก"

ฉันและเธอ ใกล้แสนใกล้
แต่ดูแล้วมันช่างไกลแสนไกลจนแทบไม่มีหนทางที่จะพบปะกันได้
เมื่อมองข้ามท้องทุ่งอันเวิ้งว้างแห่งอุปสรรค
ฉันเฝ้ารอคอยวันที่จะข้ามผ่านมันไป
ฤ จะรอให้สายลมแสงแดดแผดเผาท้องทุ่งนั้นให้ไหม้เกรียม
เพื่อเตรียมหนทางให้ฉันก้าวข้ามไปยังฝั่งหมาย แล้ววันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่

ยามที่ได้อยู่ใกล้ยิ่งว้าวุ้น ความเป็นฉันได้หายไปฉันสูญเสียความเป็นตัวตน
ฉันล่องลอย อยู่ในสุญญากาศ
ลมหายใจของเธอโอบรอบฉันไว้ แต่ฉันไม่รู้สึกได้ใกล้เธอเลยแม้แต่น้อย
โอ ควันไฟแห่งความกระวนกระวาย ได้โปรดหยุดเผาผลาญฉันเสียที
ขอสายฝนแห่งโอกาส หยดลงมาดับแม้เพียงสักหยด
ฉันคงเยือกเย็นลงได้

หรือรักจะเป็นดังบทกวี บทหนึ่งของ คาลิล ยิบราน

“ความรักไม่ให้สิ่งอื่นใดนอกจากตัวเอง
และก็ไม่รับเอาสิ่งใดนอกจากตัวเอง
ความรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมให้ถูกครอบครอง
เพราะความรักนั้นเพียงพอแล้วสำหรับตอบความรัก”

ฉันก็เช่นเดียวกันที่มิเคยล่วงรู้ความลับแห่งรัก
มันซ่อนเร้นมานับพันปี
ประสบการณ์แห่งการมีอยู่นั้น ฉันมิอาจเทียบได้
แล้วไฉนเลยจะเอาชนะ อารมณ์แห่งรักได้
สิ่งที่ทำ คงเพียงแค่ทำตามความเรียกร้องของมัน
ยอมให้มันโอบรอบ เคลื่อนไปตามจังหวะกำหนด
มิอาจควบคุมสิ่งใดได้...

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2552

การณ์...สูญเสีย

มนุษย์ทุกคนคงหลีกเลี่ยงคำว่า “สูญเสีย” ไปไม่ได้ เพราะมันเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่มนุษย์ทุกคนต้องประสบพบเจอ

“การสูญเสีย” เกิดขึ้นได้ตั้งแต่สิ่งที่เล็กน้อย ไปจนถึงสิ่งที่สำคัญ มีทั้งทางวัตถุ บุคคล มีทั้งสะเทือนอารมณ์ความรู้สึกจากน้อยไปถึงมาก และบางครั้งมันก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน

แรงสั่นสะเทือนความรู้สึกก็ผันแปรไปตามความสำคัญ ที่เราให้กับสิ่งที่เราได้สูญเสียไปนั้น ถ้าเป็นสิ่งของ ก็แล้วแต่ว่ามันสำคัญกับเรายังไง ใครเป็นคนให้มา ได้มายากแค่ไหน หรือเราเคยมีประสบการณ์ร่วมกับมันยังไง

แต่ถ้าหากเป็นคน แรงของความสั่นสะเทือนย่อมเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าทวี เพราะคนต่างจากสิ่งของตรงที่ได้มีความรู้สึก อารมณ์ และมีชีวิตที่กระทบกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดประสบการณ์ที่มีสีสัน หลากสี บ้างเศร้า บางครั้งเจ็บ บางครั้งสุข ชื่นชม สมหวัง ฯลฯ และทีทั้งอยากจดจำ และอยากลบลืมมัน แต่สุดท้ายหากเราสูญเสีย “คน” ที่เคยรู้จัก นั่นย่อมทำให้เกิดอาการ “เสียศูนย์” ได้เช่นกัน

ทุกวันนี้ผู้คนมักรับไม่ได้กับการต้องสูญเสีย ตั้งแต่สิ่งของเล็ก ๆ ไปจนถึงสิ่งใหญ่ ๆ หรือคนที่ได้รัก และมีความผูกพัน สิ่งนี้ยืนยันว่า “มนุษย์” มีพัฒนาการทางอารมณ์ที่แย่ลง และมักหาทางออกที่เรียกว่า “คิดสั้น” (ซึ่งก็มีหลายวิธี) มาช่วยแก้ปัญหา

หากการ “สูญเสีย” เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคน เราน่าจะมีการเตรียมพร้อมที่จะรับมันการ “เผื่อใจ” สำหรับเหตุการณ์แห่งการ “สูญเสีย” นั้น ก็เป็นอีกทางออกหนึ่งในการยอมรับกับเหตุการณ์ข้างหน้า แต่ไม่ใช่การ “ปลง” เพราะการ “ปลง” คือการทำใจยอมรับอย่างไม่มีทางเลือก ส่วนมากมาจากการไม่รู้จะทำอย่างไรกับสิ่งนั้น แต่ การ “เผื่อใจ” เป็นการมองไปข้างหน้าถึงความเป็นจริง และเตรียมตัวหาวิธีในการรับกับเหตุการณ์ข้างหน้าอย่างมีสติ

หากเรามองไปข้างหน้า และยอมรับว่าทุกสิ่งล้วนมีคู่ขนานของมันเป็นสัจธรรม และรู้จัก “เผื่อใจ” ไว้เสมอ เราก็คงไม่ต้องเจ็บปวด รวดร้าว จนต้องกลายเป็นความ “สูญเสีย” ของใครบางคน...