วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ผู้แสวงหา...

ฉันออกเดินทางไปยังดินแดนต่าง ๆ เพื่อตามล่าหาความหมายที่แท้จริงในชีวิต ฉันมีธนูเป็นอาวุธ ทุกครั้งที่ฉันง้างสาย และปล่อยลูกธนูไปมันไม่เคยพลาดเป้า แม้เพียงสักครั้งก็ยังไม่เคย

วันนี้ฉันยืนอยู่ ณ ดินแดนแห่งใหม่เป็นการมาเยือนครั้งแรกของฉัน ถึงแม้เป็นอย่างนี้ฉันก็ไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย ทั้งยังคาดหวังจะได้พบเจอสิ่งแปลกใหม่ที่มิเคยมีผู้ใด พานพบมาก่อน ฉันเร่งฝีเท้าไปยังดินแดนเบื้องหน้า ไปตามที่สายตามองเห็น เมืองนี้ช่างงดงามแปลกตายิ่งนัก

ฉันต้องแปลกใจเมื่อก้าวข้ามประตูเมือง เมื่อพบเจอรอยยิ้มของผู้คน และการโบกมือทักทายอย่างเป็นกันเองราวกับว่าฉันมิใช่คนแปลกหน้า ต่างจากหลายแห่งที่ฉันได้ไปเยือนมาช่างน่าอัศจรรย์ แต่ฉันก็มิอาจวางใจ กำอาวุธคู่กายไว้แน่น เพราะสิ่งที่ได้เรียนรู้มากล่าวไว้ว่า “ในความงดงามมักแฝงด้วยพิษร้ายเสมอ” ฉันก้าวเท้าเข้าไปอย่างมั่นคงสายตาจับจ้องสังเกต มิอาจวางใจในสิ่งที่เห็นได้

ฉัน สะดุ้งเฮือก !!! หันหลังง้างธนู ด้วยสันชาติญาณ แต่กลับต้องลดแขนลงเมื่อภาพข้างหน้ามิใช่ศัตรูแน่เป็นภาพของเด็กน้อยที่นำดอกไม้ สีสดสวยยื่นให้ ฉันมิอาจวางใจรับไว้ แต่แววตาของเขาคลายกังวลให้ฉันเป็นอย่างยิ่ง ฉันรับดอกไม้ เด็กน้อยยิ้ม แล้ววิ่งหันหลังจากไป ทิ้งเพียงดอกไม้ และความอุ่นใจไว้กับฉัน

ฉันมิเคยพบเจอสิ่งใดเช่นนี้ แม้ว่าจะท่องไปยังที่ต่าง ๆ มากมาย ทุกที่ ที่ฉันไปเยือนล้วนแต่มี พยันตรายแอบแฝง หากพังพลาดเมื่อใด ชีวิตอาจดับสูญ โลกนี้สอนให้ฉันยืนหยัดด้วยตนเอง แต่ในดินแดนแห่งนี้ ราวกับว่าทุกคนไร้สิ่งกังวลใด ๆ ทุกคนใช้ชีวิตอยู่อย่างผาสุก ร้อยยิ้มและการเผื่อแผ่ มีให้เห็นอยู่เต็มลานเมือง ต่างจากทุกที่ในโลกที่ทุกลานเมืองจะมีแต่รอยเลือด และการแย่งชิง

ไม่น่าเชื่อว่าดอกไม้เพียงดอกเดียวจะทำให้ฉันละมือจากอาวุธได้

ความแข็งแกร่ง และอาวุธคงไร้ค่าสำหรับเมืองนี้ เพราะที่นี้มีความอ่อนโยนและไมตรีเป็นอาวุธที่ทรงพลังคอยปกป้องดินแดนนี้ ฉันเชื่อว่ามิอาจมีนักรบ หรือผู้ใดจะสามารถเอาชนะผู้คน ณ ดินแดนแห่งนี้ได้ หัวใจฉันเริ่มร่ำร้องที่จะอยู่ที่นี่ แต่ฉันมิอาจเชื่อฟังมันได้ เพราะหากฉันอยู่ที่นี่ชีวิตฉันคงไร้ค่าเหมือนดังเช่นเจ้าธนูผู้เคยองอาจ ดินแดนแห่งนี้คงไม่เหมาะกับเราทั้งสอง

ฉันจึงจากมาโดยมิกล่าวลา ฉันคงเป็นแค่ผู้ผ่านทาง มิอาจฝังตัวอยู่ที่ใดได้ หรือแท้จริงมันเป็นเพียงแค่เส้นตัดของกาลเวลา ที่มาบรรจบกันเพียงแค่ชั่วครู่ แล้วผ่านเลยไป

ฉันจึงจากดินแดนแห่งนั้นมา พร้อมกับอาวุธชิ้นใหม่ . . .



วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เด็กชายน้อยกับหมวกสีขาว


เด็กชายน้อยสวมหมวกสีขาว ยืนเพียงลำพังเหล่าเปลี่ยวอยู่ท่ามกลางสวนใหญ่ อยู่ไปเพียงวัน ๆ ไร้ซึ่งความหมายใด ๆ ยืนเดียวดายไร้ซึ่งสายลม

ท่ามกลางความเปลี่ยวเหงาที่มีมากกว่าพื้นที่ในสวนใหญ่ เด็กชายน้อย ยืนไม่ไหวติงสงบนิ่งเพียงลำพัง รอคอยเพียงคำสั่งเจ้าของสวนว่าควรทำสิ่งใด

“หมวกใบนี้จะเป็นสิ่งที่บอกว่าเจ้าเป็นเช่นใด”
เจ้าของสวนส่งเสียงใหญ่น่าเกรงขามบอกกับเด็กชาย เด็กชายตัวน้อยจึงรู้ในความหมายของหมวกใบขาวนั้น

เด็กชายน้อย หวั่นพรั่นพรึง คิดคำนึงว่ามันจะเป็นเช่นไรต่อไป ความนิ่งไหวเลือนหาย ความกระวนกระวายเข้ามาแทนที่ เด็กชายตัวน้อยเริ่มเฝ้าคอยจับตามองหมวกใบนั้น ไม่อยากให้มันเปลี่ยนสีอยากให้มันคงเดิมไม่เปลี่ยนวิถี เพื่อบ่งบอกว่าเขายังคงภัคดีต่อเจ้าของสวนใหญ่

แต่นานวันผ่านไปยิ่งตั้งใจที่จะไม่เปลี่ยนท่าที ยิ่งตั้งใจทำให้หมวกใบนั้นคงที่ ก็ยิ่งเปลี่ยนท่าทีภายในใจตน หมวกที่เคยขาวกลับกลายหมองหม่น สีของมันเริ่มสับสน สับเปลี่ยนวกวน เพราะตัวเด็กชายเอง เด็กชายไม่เข้าใจว่าทำไมสิ่งที่ตนทำราวกับว่าเป็นตัวทำตนแปรผัน หรือ ว่าต้องทำเช่นไร

เจ้าของสวนกลับมาอีกครั้ง ตามเวลานัดหมาย แท้ที่จริงแล้วเฝ้ามองอยู่มิวางวาย เห็นท่าทีของเด็กชายรู้สิ้นทุกทาง

เสียงใหญ่น่าเกรงขามเฉลยไข ว่าทำไมหมวกใบขาวเปลี่ยนสี แท้ที่จริงเป็นเพราะท่าที ของเด็กชายที่ไม่ใช่ตน หากเด็กชายคลายกังวนถึงเรื่องหมวก แล้วใช้ชีวิตตามสะดวกไร้สิ่งกดดัน ความเป็นตัวตนของตนนั้น คือสิ่งอัศจรรย์สรรค์สร้างความบริสุทธิ์ เอย...

วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ใบไม้ร่วงหล่น เธอคนนั้นหล่นหาย…

สายลมพลิ้ว ริมแม่น้ำบัตซึ นำพาความรู้สึกเหงาเข้ามาอย่างจับใจ สายน้ำยังคงนิ่งสงบใบไม้ร่วงหล่น ปลิวกระจายไปทั่วแผ่นน้ำ บ่งบอกการมาเยือนของฤดูใบไม้ผลิ ฉันยังคงยืนอยู่บนสะพาน อะเบคคุ ซึ่งเชื่อมระหว่างสองฝากฝั่งแม่น้ำ บัตซึ

ด้านหนึ่งเป็นหมู่บ้าน โฮะริ ซึ่งก็มีความหมายเช่นนั้นจริง ๆ เพราะหมู่บ้านนี้ถูกล้อมรอบไปด้วย คู ที่ถูกขุดเชื่อมกับแม่น้ำบัตซึ เพื่อนำน้ำไปทำการเกษตรในหมู่บ้าน ส่วนอีกหมู่บ้านหนึ่งเป็นหมู่บ้านของฉัน ชื่อว่า ฮิบะจิ ซึ่งก็ได้มาจากการที่คนในหมู่บ้านทำอาชีพเผ่าถ่าน จึงทำให้หมู่บ้านของฉันมีความหมายว่า ที่ตักถ่าน ฉันชอบความหมายของมัน

ฉันชอบสะพาน อะเบคคุ แห่งนี้ เพราะมันเป็นเหมือนจิตวิญญาณของคนทั้งสองหมู่บ้าน มันคือที่ ที่สองหมู่บ้านใช้ในการไปมาหาสู่ และการแลกเปลี่ยนสิ่งของ ต่าง ๆ แต่ที่ชอบที่สุดคือ ตำนานที่เล่าขานถึงที่มาของชื่อ อะเบคคุ มีเรื่องเล่าว่า สะพานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นหลังจากการสูญเสียของคนทั้งสองหมู่บ้าน เนื่องมาจาก ชาย หญิง คู่หนึ่งที่แอบหลงรักกัน ทั้งสองอยู่คนละหมู่บ้าน ในสมัยก่อนยังไม่มีสะพาน และคนทั้งสองหมู่บ้านนี้ก็ไม่ยอมไปมาหาสู่ และพูดคุยกันเลย เหตุผลก็เพราะว่า ทะเลาะกันเรื่องการสร้างสะพาน

หมู่บ้าน โฮะริ บอกว่าให้หมู่บ้าน ฮิบะจิ เป็นคนเริ่มสร้างก่อนจากด้านล่าง แล้วพวกเขาจะสร้างด้านบน แต่หมู่บ้าน ฮิบะจิ ไม่ยอม บอกว่า พวกเขาจะสร้างด้านบนของสะพาน ให้หมู่บ้าน โฮะริ ลงมือสร้างก่อน เพราะหมู่บ้านโฮะริ ใช้ประโยชน์จากแม่น้ำมากกว่า จนในที่สุดก็ตกลงกันไม่ได้ เลยไม่มีใครลงมือสร้างสะพาน

และเมื่อชาย หญิงคู่นั้นรักกันเลยทำให้ถูกครอบครัว และคนในหมู่บ้านกีดกันจนในที่สุดทั้งคู่ตัดสินใจจบชีวิตของพวกเขา ณ แม่น้ำแห่งนี้

แม้วันเวลาจะล่วงเลยมานานแล้ว และตำนานแห่งความจริงนั้น นับวันจะถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา แต่สิ่งที่หลงเหลือมาจากเหตุการณ์ที่แสนเจ็บปวดก็คือ ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนทั้งสองหมู่บ้าน

คงเหมือนกับที่ใครบางคนพูดไว้ ว่า “หลังพายุฝน ท้องฟ้าจะงดงามเสมอ”

ใบไม้ยังคง ร่วงหล่น... และฉันยังคงยืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้

ทุกครั้งเมื่อฉันคิดถึง ตำนานนี้ ฉันก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึง โทจิ เราเป็นเหมือนกับตำนานนี้ แต่ต่างกันตรงที่ฉันและเขาไม่ได้ถูกกีดกันในเรื่องของความรัก นั้นคงเป็นเพราะคู่รักในตำนานสองคนนั้น ที่ทำให้คนทั้งสองหมู่บ้านคืนดีกันจึงทำให้คนในรุ่นหลังอย่างเราไม่ต้องถูกความกำแพงแห่งความชิงชังขวางกั้นเอาไว้

ฉันและโทจิ มักจะมายืนดูดวงอาทิตย์ ยามที่มันลาลับขอบฟ้าที่นี้เป็นประจำ ทุกครั้งที่ฉันจ้องมองมันพร้อมกับเขาทำให้หัวใจฉันอบอุ่น เหมือนกับแสงอุ่น ๆ ของ ดวงอาทิตย์ยามลับขอบฟ้า เขาจะโอบไหลฉันไว้ทุกครั้ง เหมือนกับกลัวว่าสายลมอ่อน ๆ ยามเย็นที่ลัดเลาะแม่น้ำแห่งนี้ จะพัดพาฉัน ไปจากเขา

และที่นี่ “คำสัญญา” ของสองเราได้เกิดขึ้น...

สงครามได้พรากเราสองจากกัน คงเหลือไว้เพียง สายแห่งความสัมพันธ์ ที่เรียกว่า “คำสัญญา” ซึ่งนับวันมันจะยิ่ง บางลง ๆ ทุกขณะ ฉันไม่เคยล่วงรู้ถึงเหตุผลของสงครามเลยว่า เพราะเหตุไรสงครามจึงต้องเกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่มันไม่เคยให้สิ่งดีกับใครเลยไม่ว่าจะเป็น ผู้แพ้ หรือ ผู้ชนะ หรือแม้กระทั่ง ทั้ง ฉัน และเขา ผลของมันช่างปวดร้าวซะเหลือเกิน...

ฉันหลับตาลง หวังว่าการลืมตาอีกครั้งจะมีเขาปรากฎอยู่ตรงหน้า พร้อมกับคำสัญญาที่เราให้ไว้ต่อกัน หากแต่ว่าความจริงช่างต่างจากความฝัน ฉันไม่กล้าที่จะลืมตาขึ้นมาดูภาพแห่งความเป็นจริงที่อยู่เบื่องหน้า ความเป็นจริงที่ฉันเฝ้ารอ และไม่เคยรู้เลยว่ามันจะเป็นเช่นไรเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง

แสงอาทิตย์ยามเย็นตกกระทบแม่น้ำ บัตสึ สลับกับใบไม้แห้งเหนือผิวน้ำ ยิ่งทำให้ฉันหวาดหวั่น ความหวังของฉันคงลาลับไปพร้อมกับแสงสุดท้ายของวันแห่งคำสัญญานี้

ทำไมดวงอาทิตย์วันนี้ช่างดูเศร้าหมองเสียเหลือเกิน หรือว่า ดวงอาทิตย์วันนี้ก็มองมายัง ฉัน ก่อนมันจะลาลับเช่นกัน...

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551

น้ำตาร่วง ผ่านหิมะอันหนาวเหน็บ...

...ฉันเหม่อมอง ออกไปนอกหน้าต่างจ้องมองปุยหิมะร่วงหล่น
พวกมันค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ๆ จนในที่สุดท้องถนน และต้นไม้ก็กลายเป็นสีขาวโพลน ในใจฉันก็เช่นกันตอนนี้มันถูกปกคลุมไปด้วยความอ้างว้าง ต่างเพียงแค่มันเป็นสีดำอันมืดมิดก็เท่านั้น
ฉันไม่เคยเชื่อว่าวันเวลาจะพัดพาเอาสิ่งที่เรียกว่าความทรงจำออกไปจากชีวิต ดังที่ใคร ๆ เขาพูดกันเพราะสิ่งนี้มันไม่เคยจากฉันไปสักที แม้ว่าบางครั้งฉันจะพยายามผลักใสมันสักเท่าไหร่ มันก็ยังคงดื้อด้านวิ่งอยู่ในหัวฉันเสมอ แต่เมื่อฉันลองนั้งลงแล้วนิ่งสงบ ความทรงจำเหล่านั้นกลับกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำผ่านดวงตาคู่นี้ของฉัน
และฉันไม่เคยล่วงรู้ถึงเหตุผลของมันเลย
ต้นไม้ยังคงนิ่งสงบ แต่ถนนสายนั้นเปลี่ยนไปด้วยภาพของชายในชุดคลุมสีดำ เงาดำจากหมวกได้ปิดบังใบหน้าของเขาจากแสงสว่างของเสาไฟริมทาง แต่ทว่า ความมืดมิดมิได้ปิดบังความรู้สึกที่ฉันสัมผัสได้ผ่านสายหิมะโปรยปราย
ภาพแห่งอดีตสับเปลี่ยนกันวิ่งในสมองของฉันแต่ภาพที่ชัดที่สุดคือภาพภาพแห่งความจริง ณ ปัจจุบัน
ภาพหยดน้ำตาที่กระทบแสงไฟ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองมายังฉัน ทำให้ฉันหลุดจากภวังแห่งความคิด ฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้ริมหน้าต่าง หรือว่าเป็นเพราะหยดน้ำตานั้นที่ดึงดูดฉันให้เข้าหา
ฉันรู้สึกว่าหนทางระหว่างเขากับฉันนั้นมันช่างยาวไกล แต่ละก้าวมันช่างยาวนาน เหมือนฉันกำลังเดินอยู่บนถนนแห่งการตัดสินใจ ถนนสายนี้ปลายทางคือเขาคนนั้น แต่ถ้าฉันหันกลับ ต้นสายของมันคืออดีตที่เจ็บปวด ฉันกลัวที่จะหวนคืน
ฉันหยุดนิ่งภาพตรงหน้าคือเขาคนนั้นที่ฉันรอคอยการกลับมา เสียงลมหายใจของเขามันบอกเล่าความหมายได้ดีกว่าถ้อยคำใด ๆ ในโลก เวลานี้มีเพียง หยดน้ำตาของเราสอง และ สายหิมะอันโปรยปราย
แต่ทำไมในหัวใจฉันกลับรู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน...

วันนี้ฝนตก เสียงสายฝนกระซิบบอกบางอย่างกับฉัน...

วันนี้ฝนตก เสียงสายฝนกระซิบบอกบางอย่างกับฉัน...

1
ฉันพบกับเคนจิในวันที่สายฝนกระหน่ำ เราทั้งคูเปียกปอนยืนหลบฝนอยู่ป้ายรถเมล์ริมทางไม่มีบทสนทนาใดระหว่างคนแปลกหน้าทั้งสอง มีเพียงเสียงฝนพร่ำ กับเสียงลมหายใจที่เล็ดลอดผ่านเสียงสายลม

ฉันรู้สึกว่าสายฝนในวันนั้นทำไมยาวนานเหลือเกิน และเหมือนกับว่าช่วงเวลาหยุดนิ่งไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหวแม้สายฝนก็หยุดนิ่งเมื่อสายตาของเราได้ประสานกันผ่านแสงไฟสลั่ว...

แต่ทุกอย่างไม่ได้จบลงไปพร้อมกับสายฝน หากแต่ว่ามันคือการเริ่มต้น

2
แสงแดดยามเช้าของวันอาทิตย์ ได้ลัดเลาะกรอบหน้าต่างผ่านผ้าม้านสีฟ้าที่กำลังพลิ้วไหว ด้วยสายลมอ่อน ๆ ฉันยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง ต่างจากความคิดที่วิ่งแล่นไปถึงวันเวลาแห่งความสุข และบอกตัวเองว่ามันไม่ใช่ความฝัน หากแต่ว่ามันเป็นความจริงที่ผ่านพ้น และฉันก็ไม่รู้ว่าจะพบพานกับช่วงเวลาเช่นนั้นได้อีกเมื่อใด หลังจากที่เคนจิจากฉันไปฉันยังคงเฝ้ารอ... แม้ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ แต่การรอคอยในสิ่งที่มองไม่เห็นนั่นช่างเป็นสิ่งที่สวยงามยิ่งนัก ฉันเปิดประตูห้องมองไปยังห้องตรงข้าม ที่ ที่ เราได้พบกันอีกครา

3
ภาพของเคนจิประกฎผ่านกรอบของประตูห้อง ฉันรู้สึกว่าโลกหยุดหมุนอีกครั้ง ฉันไม่อยากให้เวลาเดินไปข้างหน้า เพราะไม่รู้ว่าอนาคตมันจะเป็นเช่นไรต่อไป สายตาเราประสานกันก่อให้เกิดสายใยบาง ๆ ระหว่างคนแปลกหน้าสองคน หลังจากการสนทนาสั้น ๆ ในวันนั้น ก็ก่อให้เกิดรากฐานแห่งความสัมพันธ์ของคนสองคน จากแปลกหน้า กลับกลายเป็นคุ้นเคย... และทุกครั้งที่เสียงประตูห้องตรงข้ามดังขึ้น สิ่งที่ตามมามักจะเป็นการต่อเติมฐานแห่งความสัมพันธ์ จนเมื่อรู้สึกตัวอีกทีมันก็เปลี่ยนเป็นรูปปั้นแห่งความรักไปเสียแล้ว

4
ฉันนั้งจ้องมองผ่านบานประตู ประตูห้องตรงข้ามยังคงเหมือนเดิมแต่เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นนั้นไม่มีอีกต่อไป อีกสิบวันก็จะถึงวันครบรอบการจากไปของเคนจิ การจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ฉันไม่ได้เตรียมใจมาก่อนมันช่างยากเหลือเกินที่เราจะยอมรับกับความจริงอันโหดร้ายได้ ฉันยังคงจ้องมองประตูบานเดิม และคิดถึงวันที่มันปิดสนิท ไม่ถูกเปิดใช้อีกต่อไป

5
ฉันหยิบร้องเท้าคู่เก่ง หลังจากเตรียมตัวออกไปข้างนอก เสียงที่คุ้นหูร้องทัก “ร้องเท้าสวยจัง” ฉันหันไปสบตาเจ้าของเสียงและยิ้มให้พร้อมก้าวจากไป โดยไม่คิดเลยว่าการจากไปครั้งนี้จะเป็นการจากอันเป็นนิรันดร์


6
ฉันกลับเข้ามาในห้อง จ้องมองทุกสิ่งที่เหมือนเดิม และหวังจะได้พบเจอเขาอีกครั้ง หากแต่ความจริง คือ ความว่างเปล่าที่น่าหวาดหวั่น หรือสิ่งนี้ที่เรียกว่า ความเจ็บปวด...

กรอบ...



เส้นตรงเรียงรายตัดกันไปมา แสดงผลลัพธ์ออกมาเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเต็มเพดานในห้องสี่เหลี่ยมขนาดย่อม ได้ตกกระทบภายในม่านตาของฉันส่งการประมวลผลไปยังสมองทำให้เกิดความรู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวอย่างบอกไม่ถูก

แสงไฟสีแดงจากหลอดที่ถูกขึงติดกับเพดานด้วยสายไฟเส้นเดียวห้อยแกว่งไกวไปตามแรงลมที่มีต้นกำเนิดมาจากพัดลมติดเพดานที่อยู่ข้าง ๆ แม้แรงลมจะทำให้หลอดไฟไหวไปมา แต่มันมิได้สะทกสะท้านต่อผิวกายของเจ้าจิ้งจกที่เกาะอยู่ข้างฝาผนังแม้เพียงนิด มันกลับเกาะนิ่งไม่ไหวติงเหมือนกำลังรอคอยโอกาสบางอย่างที่กำลังจะผ่านเข้ามาในชีวิต...

ผนังทั้งสี่ด้านทอดตัวจรดกันไร้รอยแยกราวกับว่ามันกำลังปิดกั้นชีวิตฉันออกจากโลกภายนอก และแม้จะมีประตู ฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะช่วยปลดปล่อยฉันสู่โลกภายนอกสักนิดเดียว ทั่วพื้นเต็มไปด้วยกองหนังสือหลากประเภทซึ่งมันถูกพันธนาการจากผงฝุ่น และเศษแมลงเล็ก ๆ ที่สิ้นชีพลงภายในโลกอันไร้อิสรภาพแห่งนี้ สำหรับเจ้าแมลงพวกนี้ห้องนี้อาจจะดูโอ่โถง แต่มนุษย์อย่างฉันมันช่างแคบ แต่หลายครั้งฉันมักจะชอบอยู่ในที่แคบไร้อิสระมากกว่าโลกกว้างที่เต็มไปด้วยอิสระไร้ขอบเขตจนหลายคนยอมให้อิสระนั้นทำลายตัวตนที่แท้จริงซึ่งถูกกักขังอยู่ในจิตวิญญาณของตน

แมงมุมหลายตัวกำลังชักใยของมันอย่างขะมักเขม้น หรือมันกำลังสร้างสรรค์งานศิลป์ผ่านสัญชาตญาณแห่งชีวิต ราวกับว่ามีผู้ใดได้บ่งบอกจุดมุ่งหมายในชีวิตให้กับมัน หลายครั้งฉันอิจฉาพวกมันเพราะมันเข้าใจชีวิตมากกว่าฉันเสียอีก สายใยของมันถูกเชื่อมโยงติดกันอย่างเป็นระบบมันโหนตัวไปมาจากมุมหนึ่งสู่อีกมุมหนึ่งเพื่อเชื่อมต่อเส้นใยเหล่านั้นกับผนังห้อง และแล้วก็ถึงเวลานิ่งสงบรอคอย...
มันหยุดนิ่งแต่ไม่หยุดที่จะรอคอย

แม้ในห้องจะดูรกรุงรัง เขลอะขละไร้สิ่งใดประดับเติมแต่งความงดงามตามผนังและพื้นห้อง คนภายนอกอาจมองว่าสกปรก แต่ฉันว่านี่คือความจริงไร้สิ่งเจือปนไม่ใช่การแสดงซึ่งหาดูได้จากโลกที่อยู่นอกประตูบานนั้นโลกที่ดูสวยงามเต็มไปด้วยศีลธรรม ฉาบไปด้วยผู้คนที่มีรสนิยม การศึกษา ความรู้ แต่มิได้เข้าใจความหมายของชีวิตมากไปกว่าแมงมุมซักตัว มิได้เรียนรู้ที่จะนั่งสงบรอคอยเหมือนเจ้าจิ้งจก ไม่รู้จักที่จะโอนอ่อนตามกระแสลมแรงเหมือนเช่นหลอดไฟในห้องแคบ ๆ ที่ทั้งเก่า เขลอะขละ รกรุงรัง

ฉันไม่กล้าแม้เพียงย่างล้ำออกไปจากประตูบานนี้เลยแม้สักครั้งเดียว...

แค่ เครื่องมือสนองกิเลส...

คุณรู้จักฉันดี...

ในชีวิตคุณเคยผ่านฉันมาแล้วทั้งนั้น โดยเฉพาะผู้ชายทุกคน จะต้องมีประสบการณ์ร่วมกับฉันมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายในชาติใด ภาษาไหน ก็ล้วนมีประสบการณ์ร่วมกับฉันมาแล้วทั้งนั้น

และแน่นอน ผู้ที่นำพาฉันมาพบเจอพวกผู้ชายเหล่านั้น ก็เป็นผู้ชายที่มีผลประโยชน์ในตัวฉันอีกเช่นกัน พวกเขาไม่ค่อยใสใจในความรู้สึกฉัน ว่าฉันจะคิดอะไร เป็นยังไงนั้นยังไม่พอ ผู้ที่ได้ผลประโยชน์จากฉันยังร่วมใช้ฉัน ไม่ต่างกับผู้ชายเหล่านั้น เขาใช้ฉันอย่างไม่ยั้งคิด มิหนำซ้ำยังไม่ค่อยดูแลตัวฉันอีกต่างหาก แต่ยังดีที่บางครั้งเมื่อประสิทธิภาพในตัวฉันเริ่มหย่อนยาน เขาถึงคิดจะดูแลและเห็นใจฉันบ้าง


เพื่ออะไรหรือ?

ก็เพื่อให้ใบหน้าของฉันดูสดชื่นและคมคายขึ้นมา และสามารถรับงานหนัก ๆ จากผู้ชายเหล่านั้นอีกครั้งหนึ่ง

ฉันเริ่มปลงกับชีวิต ปลงกับอาชีพนี้ จากอาชีพบริการอันข่มขื่นและไม่มีใครให้ความสำคัญ โลกนี้ยังมีความยุติธรรมบ้างหรือไม่ เป็นไปได้ใหมที่วันหนึ่ง ฉันจะกลายมาเป็นผู้กระทำ ไม่ใช่ผู้ถูกกระทำอย่างเช่นทุกวันนี้

...แต่แล้วชายผู้เป็นเจ้านายก็ปลุกฉันจากภวังค์ความคิดที่ไม่อาจเป็นไปได้

ไม่มีบทสนทนาใด ๆ ระหว่างฉันกับเขา มีเพียงผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับจากฉันเท่านั้น เป็นเพียงสายใยบาง ๆ ที่ทำให้เขายังคงเก็บฉันไว้ต่อไป แล้วเขาก็หยิบยื่นฉันให้กับชายคนอื่นอีกเช่นเคย

เพียงแต่เช้าวันนี้เป็นเด็กผู้ชายอายุเพียง 5 ขวบเท่านั้น !!!

ฉันแปลกใจว่าทำไมวันนี้เขาถึงกล้ารับแขกที่อายุน้อยเช่นนี้ แม้ฉันจะผ่านผู้ชายมามาก แต่คุณธรรมในใจมันยังคงฟ้องในใจว่านี้มันอันตรายเกินไปที่จะทำในสิ่งนี้ ฉันอาจทำลายอนาคตเด็กคนหนึ่งที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ “พ่อ แม่ ของเด็กละ” ฉันเริ่มคิด ความคิดกับสิ่งที่ต้องทำช่างขัดแย้งอย่างสิ้นเชิง ฉันทำไม่ได้ ฉันบอกกับตัวเอง


แต่ไม่ได้!! ฉันไม่สามารถบังคับควบคุมชีวิตฉันได้ เพราะเขาคนนั้น กำลังมองมาที่ฉัน สายตาของเขาราวกับบอกฉันว่า “เธอไม่อาจปฏิเสธสิ่งนี้ได้” และแน่นอนแม้ไม่เต็มใจทำ แต่ฉันก็ต้องทำ อย่างมิอาจขัดขืน---

เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเมื่อฉันเริ่มลงมือ เด็กชายคนนั้นดิ้นราวกับว่าไม่เคยผ่านประสบการณ์อย่างนี้มาก่อน ฉันตกใจเช่นกัน เพราะฉันก็ไม่เคยเจอเด็กขนาดนี้ ฉันผงะห่างจากเด็กคนนั้น เขาเริ่มสงบลงทำให้ฉันลดความกังวลพอที่จะเริ่มลงมือต่อได้ ฉันเริ่มเคลื่อนตัวเข้าหาเขาอย่างช้า ๆ โดยพยายามไม่ให้เขาตกใจกลัว

เขามองฉัน สายตาเราสองกระทบกันผ่านกระจกบานใหญ่ที่ติดอยู่ริมฝาผนังห้อง

เป็นครั้งแรกที่เราสบตากัน แววตาของเขายังไม่คลายความหวาดระแวงแม้แต่น้อย “ทำไมเราต้องเจอเหตุการณ์อย่างนี้ด้วย” ฉันรำพึงในใจ ก่อนจะรวบรวมความกล้าที่จะทำหน้าที่ให้ลุล่วง

แต่ความพยายามของฉันก็ถูกยับยั้งด้วยรอยน้ำตาที่ไหลอาบลงบนสองแก้มของเด็กชาย เป็นน้ำตาแห่งความสิ้นหวัง สองตาที่มองมายังฉันราวกับอ้อนวอนว่าให้ฉันหยุดการกระทำนี้ ฉันชะงัก ไม่มีคำพูดใด ๆ เหมือนกับว่าโลกทั้งโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ....

....แต่ทุกอย่างก็จบลงด้วยคำพูดของเจ้านายฉัน

“ไว้ค่อยมาตัดใหม่ละกันครับ สงสัยเด็กยังไม่เคยตัดผม เลยกลัว ดูสิร้องให้ใหญ่แล้ว”



ฉันยิ้ม รอยยิ้มของฉันไม่มีความหมายใดแอบแฝง...