วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่

เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ได้หมุนเวียนมาบรรจบครบรอบอีกครั้ง เมื่อครบรอบปีอดีตที่ผ่านมาจะถูกเรียกว่าเป็นสิ่งเก่า และปีที่จะมาถึงคือโอกาสใหม่ หลายคนไม่อยากให้ผ่านพ้นปีนี้ไป แต่ยังมีอีกหลายคนอยากเริ่มชีวิตใหม่เมื่อเริ่มต้นนับวันแรกของปีข้างหน้า

วันที่ 31 ของปีเก่าเหมาะกับการลืมอดีต และวันที่ 1 ของปีใหม่เป็นตัวแทนของการเริ่มก้าวแรกของชีวิตใหม่

หลายคนรอคอยที่จะได้กลับไปพบกับคนในครอบครัว หลังการลาจากมานานแรมปี ตั๋วทุกใบถูกจองจนเต็ม ทั้งทาง รถไฟ รถทัวร์ เครื่องบิน กระทั้งการเดินทางโดยพาหนะส่วนตัว แม้ระยะทางจะยาวไกล แต่การรอคอยที่จะพบเจอกันยาวนานยิ่งกว่า สำหรับคนไกลบ้านแล้วระยะเวลาเพียง สองสามวัน ก็เพียงพอที่จะเยียวยาความคิดถึงได้อย่างมากมาย

กระเช้าของขวัญถูกนำมาว่างจัดเรียงอย่างสวยงามตามร้านรวง ผู้คนต่างจับจ้องมองหาของขวัญสำหรับคนสำคัญ พ่อ แม่ อากง อาม่า ครูบาอาจารย์ เพื่อน แฟน ฯ หลายคนรอคอยของขวัญพิเศษ ในเวลาที่จะมาถึง หลายคนรอคอยที่จะพบเจอกับคนที่ไม่ได้ค่อยพบเจอ หลายครอบครัวเตรียมฉลองกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ขณะที่บางคนไม่มีแม้สักคนเคียงข้าง

การพบเจอมีคุณค่าเสมอ แต่น่าแปลกที่ทำไมเราไม่จัด “เทศกาลส่งท้ายเดือนเก่าตอนรับเดือนใหม่” เพื่อที่จะไม่ต้องรอกันเป็นปีที่จะพบปะสังสรรค์ แต่มีโอกาสมอบสิ่งดี ๆ ให้ซึ่งกันและกันได้ทุกเดือน หรือเสน่ห์ของความคิดถึงมันอยู่ที่ระยะเวลาของการห่างไกล ความพิเศษนั้นต้องนาน ๆ ครั้งถึงจะมีคุณค่า หรือเหตุผลที่แท้จริงของการได้ใกล้กันมันมีข้อจำกัดของความเป็นตัวของตัวเองเข้ามามีส่วนในการแสดงออก หรือเป็นเพราะสภาวะทางสังคมที่จำกัดเราไม่ให้มีโอกาสได้มอบความรู้สึกดี ๆ ให้กันบ่อย ๆ หรือเป็นเพราะเราเองที่ไม่ได้มองหาโอกาสที่จะทำมัน

มันคงดีไม่น้อยหากโลกนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการมอบความสุขให้ซึ่งกันและกัน ดังเช่นเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หากเรามองหาโอกาสที่จะมอบความสุขให้กับคนที่เรารัก หรือคนที่อยู่รอบข้างเรา ก็คงไม่ต้องรอจนครบรอบปีที่จะทำ

อย่ารอให้ใครต้องกำหนดเทศกาลขึ้นมาเพื่อกระตุ้นการมอบความรู้สึกดี ๆ ให้กับคนที่คุณรัก เพราะไม่แน่ว่าเขาคนนั้นอาจจะอยู่ไม่ถึงเทศกาลต่อไป...

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

คำถาม

ภาพหญิงชราหาบของพะรุงพะรังเบื้องหน้ากระตุ้นต่อมความคิดของผมยิ่งนัก
คำถาม

- เธอมี สามี ลูก หลาน หรือญาติพี่น้อง หรือไม่?
- เธออายุเท่าไหร่ ?
- อาชีพที่เธอทำอยู่สร้างรายได้ให้กับเธอวันละเท่าไหร่ และพอกับค่าครองชีพหรือไม่ ?
- เธอต้องมีภาระในการใช้จ่าย หรือเลี้ยงดูคนอื่นอีกไหมนอกจากตัวเอง ?
- บ้านเธออยู่ที่ไหน ?
- อาชีพที่เธอทำเรียกว่าอะไร ?
- ในชีวิตเธอ เคยมีคนรักหรือไม่ ?
- ชื่อของเธอคือ ... ?
- เธอทำอย่างนี้มานานมากไหม ?
- เธอเคยเรียนหนังสือหรือไม่ ?
- เพราะอะไรเธอ ไม่ทำงานอย่างอื่น ?
- เธอมีความสุขไหม ?
- เธอสนใจการเมืองบ้างหรือเปล่า ?
- วิกฤตการณ์เศรษฐกิจตกต่ำมีผลต่อเธอไหม ?
- กลับบ้านไปเธอจะทำอะไร ?
- เมื่อไหร่ที่เธอจะหยุดพัก ?
- เธอเหนื่อยไหม ?

คำถามมากมายเกิดขึ้น มันวิ่งวกวนไร้ทิศทางในหัวผม โดยที่เธอผู้อยู่เบื้องหน้ามิได้รับรู้แม้แต่น้อย เธอยังคงดำเนินชีวิตของเธอต่อไป ใบหน้าไร้การแสดงออกซึ่งความรู้สึกใด ๆ นั้นไม่ยี่หระต่อตัวแปรภายนอก หรือชีวิตของเราทั้งเป็นเพียงแค่จุดตัดแห่งกาลเวลาที่วนมาบรรจบกันแล้วก็ผ่านเลยไป แล้วใยต้องมาตัดผ่านกันในเวลานี้ หรือว่าเส้นโคจรนี้ถูกกำหนดจัดเตรียมไว้ให้พบเจอ อาจมีใครสักคนที่คอยขีดเส้นร้างที่เราไม่สามารถมองเห็น และรับรู้ได้ไว้ก่อนหน้า เพื่อที่เราจะได้เดินไปตามเส้นทางนั้น ๆ แม้อาจต่างเส้นทาง แต่สุดท้ายบันปลายคือที่แห่งเดียวกัน

หญิงชราคนนั้นได้จากไป แต่คำถามมากมายที่เกิดขึ้น ณ รอยตัดนั้นยังคงอยู่กับผม...

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

“กำขี้” ดีกว่า “กำตด” ???

ต้องขออภัยอย่างยิ่ง ที่ขึ้นหัวข้อมาก็ส่งกลิ่นตลบอบอวลทั่วบล็อกเลย !!! เพราะวันนี้จะพูดถึง ทั้ง “ขี้” ทั้ง “ตด” หากท่านผู้อ่านท่านใด รับไม่ได้ กรุณาเลื่อนเมาส์ของท่านไปที่มุมด้านขวาบนของหน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วคลิกเครื่องหมาย X ได้เลย

เราคงคุ้นเคยกับคำพูดที่ว่า “กำขี้ดีกว่ากำตด” เป็นอย่างดี เพราะมันถูกใช้อย่างแพร่หลาย ตั่งแต่ในวงการไฮโซ ไปจนถึง กรรมกรใช้แรงงานทั่วไป ไม่เว้นแม้แต่เวที สีแดง หรือ สีเหลือง และอีกมากมายไปยาลใหญ่ ซึ่งคำนี้มีความหมายว่า “ได้อะไรซักอย่าง ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย” (วะ)

ตามสถานการณ์ทั่วไปที่พบเจอคำนี้ได้บ่อยก็คงเป็น การนำมาใช้เมื่อเราพลาดอะไรที่เป็นความต้องการจริง ๆ แล้วได้อะไรที่ไม่ตรงกับความต้องการของตัวเอง เรามักจะจบด้วยถ้อยคำปลอบใจตัวเองว่า อย่างน้อยก็ “กำขี้ดีกว่ากำตด” ซึ่งในความเป็นจริงมันก็ไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกแย่ ดีขึ้นมาซักเท่าไหร่ ออกจะเป็นแนวระบายอาการปลงในใจเสียมากกว่า

การใช้คำพูดนี้ น่าจะเป็นการเปรียบเทียบ ในเชิงประชดประชัน หากลองวิเคราะห์ตามคุณลักษณ์ของคำที่ใช้ ก็คงจะได้ความหมายว่า “ขี้” เป็นรูปธรรม สัมผัสได้ แตะต้องได้ เป็นตัวแทนของการได้มาซึ่ง แต่ “ตด” เป็น นามธรรม สัมผัสไม่ได้ ไร้ตัวตน เป็นตัวแทนของความว่างเปล่า ไร้ซึ่ง จึงถูกนำมาใช้ในการเปรียบเทียบการ พลั้งพลาดจากเป้าหมายหลักแห่งความต้องการ แต่ก็ยังมีอะไรที่ติดไม้ติดมือมาก็ยังดี

เป็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่งว่าทำไมต้องเป็น “ขี้” และ “ตด” ทำไมไม่เป็น “หมา” กับ “ลม” หรือไม่ก็ “ควาย” กับ “แสงแดด” สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวแทนของ รูปธรรม นามธรรม ได้ทั้งนั้น แต่เมื่อลองพิจารณาจาก อรรธรส ทั้ง อารมณ์ ความรู้สึก ในการฟังแล้ว ปรากฏว่า “ขี้” กับ “ตด” ชนะไปอย่างเป็นเอกฉันท์ จึงพอรับได้ในเรื่องของการเลือกใช้คำ

แต่เมื่อลองพิจารณาตามความหมาย ก็เริ่มที่จะสงสัย ว่าตกลงการ กำ “ขี้” มันดีกว่า กำ “ตด” จริงหรือ?

เมื่อการกำ “ขี้” ในความเป็นจริงเราต้องทนทั้งกลิ่นเหม็น สภาพที่ไม่น่าดูของมันซึ่งมันไม่เคยบอกก่อนเลยว่าก่อนออกจากระบบขับถ่ายมาสู่โลกภายนอกนั้น มันจะเป็น ก้อน หรือ เหลว เละ หรือ มีกาก อะไรติดมาบ้างรึเปล่า (พิจารณาได้จากประสบการณ์ส่วนบุคคลได้) ซึ่งเมื่อเรากำมันขึ้นมามันเป็นอะไรที่ฝืนกับความเป็นจริงอย่างยิ่ง คงมีน้อยคนที่จะชื่นชมใน “ขี้” ของตัวเองด้วยการจ้องมอง และหยิบมาชื่นชม ลูบไล้ ก่อนกดมันลงชักโครก แต่ในทางตรงกันข้าม เราแทบจะไม่ดูมัน แถมยังกลั้นหายใจอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นการกำ “ขี้” ในชีวิตจริงคงเกิดขึ้นได้น้อย หรือไม่ เปอร์เซ็นต์คงเป็นศูนย์

มาถึงคู่กรณี “ตด” เป็นลมผายที่ออกมาจากช่องแคบระหว่างก้อนเนื้อสองก้อนที่เรียกว่า “ก้น” เป็นการระบาย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และมีเทน ออกมาจากสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “มนุษย์” ซึ่งสามารถมีผลกระทบต่อคนรอบข้างได้ ตั้งแต่ พ่อแม่ เพื่อนฝูง ไปจนถึงคนแปลกหน้า สามารถออกฤทธิ์ได้ทุกสถานที่ ความแรงในแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับความมิดชิด อับ แออัด ของพื้นที่นั้น ๆ ในการหยิบยก “ตด” มาใช้ในกรณีที่ว่า “กำขี้ดีกว่ากำตด” คงเป็นเพราะมันใช้เป็นตัวแทนของการไม่ได้อะไรเลย เพราะ “ตด” อยู่ในรูปของ “ก๊าซ” ซึ่งจับต้องไม่ได้ แต่เมื่อคิดให้ดี ทุกครั้งเมื่อเราต้องกำ “ตด” ไม่ว่าในกรณี “ตดออกมาแล้วกำในใส่หน้าเพื่อน” หรือ “การตดแล้วกำ ไปปล่อยที่อื่นเพราะไม่อยากให้คนอื่นได้กลิ่น” ล้วนเกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง เพราะทุกครั้งที่กำ “ตด” เราไม่ต้องทนต่อความขยะแขยง หรือต้องวิ่งแจ้นไปล้างให้เสียเวลา เพราะไม่มีใครมองเห็น จะทนก็อย่างเดียวคือกลิ่น แต่นั่นก็กลิ่นของเราอีกเช่นกัน ในความเป็นจริงคนส่วนใหญ่ไม่รังเกียจตดของตัวเองซักเท่าไหร่ ออกจะดูน่ารักด้วยซ้ำถ้า เผลอ “ตด” ออกไปดัง ๆ ขณะที่กำลังสนทนา หรืออยู่กันหลายคน เสียงหัวเราะ มักจะมาแทนคำด่า เสียมากกว่า แต่หากลองนึกดูว่ามีใครสักคนเกิด “ขี้” แตก ขึ้นมากลางวงสนทนา จะมีใครสักคนหรือไม่ที่ขำออก

ถ้อยคำที่ว่า กำ “ขี้” ดีกว่า กำ “ตด” นั้น ถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยที่หลายคนไม่ได้คิดอะไรมากมาย มีคนใช้มาก็เลยใช้ต่อ ๆ กันไป แต่ผมว่า มีหลายสิ่งหลายอย่างบนโลกกลม ๆ ใบนี้หาก หยิบใช้กันอย่างไม่ได้คิดไตร่ตรองให้ดี ก็อาจจะเป็นผลกระทบทั้งตัวคนใช้ หรือคนที่อยู่รอบข้าง ถึงเวลาแล้วที่เราจะพิจารณาถึงรายละเอียดเล็กน้อยที่ดูไม่สำคัญในชีวิต แต่เชื่อเถอะว่าทุกสิ่งที่เป็นการกระทำของเรา ส่งผลกระทบออกไปสู่สิ่งอื่นได้ทั้งนั้น เหมือนที่ใครบางคนบอกไว้ว่า “การกระทำแม้เพียงเล็กน้อยก็เปลี่ยนแปลงโลกได้”

โลกทุกวันนี้สอนให้เรากำ “ขี้” มานานเสียจนลืมในความหมายของมัน ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะ ล้าง “ขี้” ที่ติดมือออกไป แล้วหันมา กำ “ตด” ซึ่งเมื่อกำแล้วไม่ต้องล้าง อย่าปล่อยให้ “ขี้” เกาะกุมมุมมองของเราเสียจนลืมมองความเป็นจริงในการดำเนินชีวิตนะครับ ...

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551

หล่น – หาย

คุณเคยทำอะไรหายบ้างหรือเปล่า?

หลายครั้งที่เราเคยทำสิ่งของสำคัญหายไปจากชีวิต เหตุการณ์เหล่านั้นล้วนแต่นำความเสียใจมายังชีวิตเรา ปริมาณในความเสียใจนั้นย่อมแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความสำคัญของวัตถุแต่ชิ้น

ถ้าหากว่าสิ่งที่หายไปจากชีวิตเราไม่ได้เป็นสิ่งของ หรือวัตถุ แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “คน” เราจะรู้สึกยังไง ???

ในความเป็นจริงเหตุการณ์เช่นนี้ล้วนเกิดขึ้นกับเราทุกคนมาแล้ว ทั้งนั้น หากลองคิดย้อนหลังไปให้ดีเราจะพบว่ามีคนมากมายที่เราหลงลืมทิ้งไว้ข้างทางเดินของชีวิต

ติ๋ว เพื่อนตอน ป.2 ที่เราชอบแกล้งเป็นประจำ
สมชายที่เคยโดดน้ำด้วยกัน
สังเวียน ที่แอบขี่มอเตอร์ไซด์ ไปเที่ยวด้วยกันครั้งแรกตอน ม.2
บรรจบ คู่แข่งจีบน้อง แต๋ว ตอน ม.5
เฉลิมชัย เพื่อนรวมคณะในมหาวิทยาลัย
ฯลฯ ...

คนเหล่านี้ได้แวะเวียนเข้ามาสร้างสีสัน แต่งเติมชีวิตของเราให้มีรสชาติ แล้วก็ผลัดเปลี่ยนกันห่างหายไป ซึ่งถ้ามองกลับกันเราก็เป็นส่วนหนึ่งเช่นกันในการ เติมแต่งชีวิตของผู้อื่น แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปถึงจุดหนึ่งที่เรียกว่า การลาจาก ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม เราก็ปฏิเสธมันไม่ได้ และสิ่งที่เป็นผลตามมาก็คือ การลบเลือนทางความรู้สึก มันจะค่อย ๆ จางหายไปพร้อมกับภาพความทรงจำ ยิ่งนานก็ยิ่งทำให้ภาพในหัว หม่น มัว นัว ลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง ความรู้สึกและภาพมันค่อย ๆ หายไป

เคยไหมที่เจอเหตุการณ์ พบเพื่อนเก่า ตอนประถม หรือ แล้วไม่กล้าเข้าไปทัก ไม่รู้จะเริ่มต้นในการเข้าไปคุยยังไง ทั้ง ๆ ที่มันก็คือ คนเดียวกับที่เรา ตบหัว กอดคอ ขี่หลัง กันในวันวาน

น่าแปลกใจที่ความรู้สึกที่หอมหวนกับเหตุการณ์น่าประทับใจในวันวาน มันลดลงเมื่อคนเราได้แยกจาก หรือแท้จริงแล้วความห่างเหิน มันบั่นทอนความรู้สึกและความทรงจำในวันวาน หรือว่าเป็นเราเองที่ทำมันหล่นหายระหว่างทางเดินของชีวิต เพราะเนื้อที่ในความทรงจำของเราถูกเบียดแย่งพื้นที่เพื่อใช้ในงานที่เราทำ ความเครียดจากเศรษฐกิจ การจดจ่ออยู่ในความสำเร็จของชีวิต สิ่งเหล่านี้หรือเปล่า ที่เข้ามาเบียดเสียดจนความทรงจำที่ดี ความรู้สึกที่แสนน่าประทับใจ มันตกไปจากหน่วยความทรงจำในใจเรา ใช่!!! “ในใจ” ไม่ใช่ “ในสมอง”

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะกลับไปตามเก็บเอาความทรงจำเหล่านั้นมาเก็บไว้ในลิ้นชักแห่งความทรงจำ หาพื้นที่เฉพาะเพื่อเก็บรวมรวบความรู้สึกดี ๆ ความน่าประทับใจต่าง ๆ ไว้ในชีวิต วันหนึ่งเมื่อเราเหนื่อยล้า หรือหมดแรง ไม่แน่ว่าการดึงลิ้นชักเหล่านี้ออกมาดู และค่อย ๆ ละเลียดความรู้สึกไปกับมัน อาจจะเป็นการเพิ่มพลังในการใช้ชีวิตของเราให้ต่อออกไปอีกวันก็ได้...



วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ส.ค.ส. หายไปไหน ???

ผมเกือบลืมไปว่าในช่วงชีวิตหนึ่งเคยมีประสบการณ์ร่วมกับ ส.ค.ส. ถ้าหากไม่ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งแล้วเจอคำว่า ส.ค.ส. ผมก็คงลืมไปแล้วว่า ผมเคยมีความรู้สึกดี ๆ ผ่านการ ส่งความสุข ไปยังคนอื่น ๆ

หากคุณเคยผ่านชั้นประถมศึกษามา แน่นอนในช่วงก่อนสิ้นปี คุณครูภาษาไทยมักจะให้เด็ก ๆ ในชั้นเรียนทำ ส.ค.ส. เพื่อ “ส่งความสุข” ให้กับคนที่รู้จัก ซึ่งมันจะทำมาจากกระดาษวาดรูปเล่มเล็ก ๆ แบ่งครึ่งแล้วพับอีกที ร่างภาพง่าย ๆ ด้วยดินสอแล้วระบายสี ไม่ว่าจะเป็นสีเทียนหรือสีไม้ ข้างในเว้นที่ว่างไว้ เมื่อคุณครูตรวจแล้วจึงค่อยเขียนข้อความลงไป เป้าหมายคือการ “ส่งความสุข” เป้าหมายในการส่งนั้นก็หลากหลาย บางคนเป็นเพื่อน บางคนนึกถึงพ่อแม่ ญาติพี่น้อง หรือบางคนนึกถึงคนในห้องเดียวกัน ซึ่งแน่นอน เป็นเพศตรงข้าม ผมยังจำความสุข ที่ได้จากการ “ส่งความสุข” ได้เป็นอย่างดี

เมื่อวันเวลาเปลี่ยนไปการ “ส่งความสุข” ของคนเราก็เปลี่ยนตาม ปัจจุบัน ส.ค.ส. ที่เมื่อก่อนเคยทำกันออกมาวางขายเกลื่อนกลาดในช่วงใกล้สิ้นปีนั้นไม่มีให้เห็นอีกต่อไป ภาพของการนั่งเขียน ส.ค.ส. เป็นโหล ๆ เพื่อส่งให้คนที่เรารู้จักก็หมดไปในปัจจุบันหากต้องการส่งความในใจ หรือถ้อยคำพิเศษให้ใคร หรือกลุ่มไหน ก็เพียงแค่กดโทรศัพท์ไปยังโหมด SMS แล้วก็พิมพ์ข้อความ เลือกรายชื่อที่ต้องการส่ง จะรายบุคคล หรือกลุ่มก้อน มากมายขนาดไหน ก็ส่งได้อย่างรวดเร็วทันใจ ไวปานรถไฟซิน-งันเซ็นในญี่ปุ่น แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ยิ่งวิธีการ “ส่ง” เร็วมากขึ้นเท่าไหร่ คุณค่าของสิ่งที่ส่งไปนั้นก็หายไปด้วย เมื่อก่อนกว่าจะส่งได้ไม่ว่าจะเป็น ส.ค.ส. ทำขึ้นเอง หรือ ส.ค.ส. ที่ซื้อมา แต่สุดท้ายก็ต้องใช้วิธีการเขียนข้อความลงไปอยู่ดี ซึ่งขั้นตอนนี้แหละเป็นมนต์เสน่ห์ ของสิ่งที่เรียกว่า “การส่งความสุข” อย่างแท้จริง

การที่ได้นั่งลงบรรจงเขียนสิ่งที่อยู่ภายใจ ให้กับใครสักคนเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องบรรจงกลั่นกลองจากหัวใจ ไปยังสมอง สั่งการมายังมือ ผ่านอุปกรณ์ขีดเขียนเป็นข้อความส่งผ่าน บุรุษไปรษณีย์ เพื่อไปถึงเป้าหมายแห่งการส่ง ช่างเป็นขั้นตอนที่เต็มไปด้วยการรอคอย ทั้งฝ่ายรับ และฝ่ายส่ง คุณค่ามันจึงเกิดขึ้นเมื่อได้ รอคอย แต่ในโลกปัจจุบัน ความเร่งรีบเบียดแย่งพื้นที่ความสุขแห่งการรอคอยไปจนเกือบหมดสิ้น ความรวดเร็วในการสื่อสารมีมากขึ้นผู้คนไม่สนใจคำว่ารอคอย ความสุขจึงเลือนหายไป ทำให้ ส.ค.ส. ที่ถูกมองว่าเต็มไปด้วยขั้นตอนยุ่งยากหายไปด้วย

แต่ถ้าลองมองย้อนกลับไปถามตัวเองดี ๆ ว่าความอุ่นใจทุกครั้งที่ได้จากกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่เรียกว่า ส.ค.ส. นั้น มันหายไปจากชีวิตนานเท่าไหร่แล้ว เราหลงลืมความสุขเช่นนั้นไปนานเท่าไหร่ ???

คำตอบคงอยู่ในใจ ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้พบกับความสุขอย่างเช่นทุกครั้งที่เปิดมันออกอ่านได้อีกหรือไม่???

เพราะว่า ส.ค.ส. ไม่ได้หายไปแค่ในสังคม แต่มันได้หายไปจากใจของเราเสียแล้ว...

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2551

สองฝาก...

ภาพชายวัยกลางคนนั่งโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือดนอนอยู่ข้างถนน ขาข้างขวาขาดวิ่นเลือดแดงฉานเปรอะริมบาตวิถี ผู้คนต่างวิ่งหนีเอาตัวรอด เสียงปืนดังขึ้นเป็นระยะ ๆ แก๊สน้ำตาพวยพุ่งเต็มท้องถนนทำให้ผู้คนต่างปาดน้ำตาของตนด้วยความปวดแสบปวดร้อน บ้างถือผ้าขนหนูปิดหน้า บ้างใช้ผ้าคลุมหน้าไว้ บ้างขว้างปาขวดตอบกลับด้วยความโกรธแค้น

แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่แสงแปลบปลาบยังคงแล็บออกมาจากปลายกระบอกปืนอย่างไม่ขาดสาย การปะทะยืดเยื้อมาจนถึงสองทุ่ม แสงไฟสลัวข้างทางยังคงพอช่วยให้หมอ และพยาบาลได้ช่วยคนเจ็บคนป่วยได้บ้าง เสียงหวอดังกังวานไปทั่วท้องถนนเร่งนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะตอนนี้ท้องถนนเต็มไปด้วยสิ่งกีดขวาง

ชายสองคนหิ้วปีกชายวัยไล่เลี้ยกันเข้ามายังหน่วยพยาบาล มือข้างขวาห้อยรุ่งริ่งจนไม่เหลือสภาพเดิม หญิงชราคนหนึ่งทรุดลงกับพื้นถนนด้วยแรงระเบิดชายหนุ่มคนหนึ่งพยายามประคองเธอลุกขึ้น เด็กหนุ่มถือขวดน้ำพยายามขว้างเข้าใส่เจ้าหน้าที่ ลุงคนหนึ่งพยายามช่วยภรรยาให้ออกมาจากควันแก๊สน้ำตา ชายฉกรรณ์ถือโทรโข่งสั่งการผู้ชุมนุม คนเสื้อเหลืองจำนวนมากวิ่งหนีออกมาจากจุดชุมนุม ในมือคนเหล่านั้นว่างเปล่า แต่ในใจคงเต็มไปด้วยคำถาม

"ท่านครับเราต้องไปแล้ว" เสียงชายในชุดซาฟารีบอกกับเจ้านาย

ผู้เป็นนายลุกขึ้นจากหน้าจอทีวี เดินออกจากห้องด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไร้บทสนทนาใด ๆ ...

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2551

แดน ๗

เมื่อสองเท้าก้าวข้ามธรณีประตูเหล็ก ผ่านกำแพงสูงใหญ่ความรู้สึกสะทกสะท้านแผ่ไปทั่วร่างในใจพลันหวั่นไหวไม่คิดว่าจะได้เข้ามายังดินแดนแห่งการคุมขังนี้ เสียงประตูเหล็กถูกปิดลงผลักดันให้ก้าวต่อไปได้เริ่มต้นขึ้น ลมแรงพัดโชยช่วยผ่อนคลายความกดดันภายในใจลงบ้าง บรรยากาศในนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่ แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลังความสวยงามที่ถูกจัดแต่งขึ้น หรืออาจเป็นเพราะคนที่นี่ต้องการความผ่อนคลายทางด้านจิตใจ และความรู้สึก สิ่งเหล่านี้จะช่วยบำบัดอารมณ์พวกเขาได้หรือไม่ ? ผมเก็บคำถามไว้เฉกเช่นความหวาดหวั่นภายใน

ผมไม่กล้าที่จะสบตาเขาเหล่านี้ ไม่ใช่เพราะความกลัวแต่เป็นความรู้สึกหดหู่ ไม่รู้จะแสดงสีหน้าและแววตาเช่นไรดี จะยิ้มทักทายด้วยไมตรี หรือชื่นชม หรือ ยิ้มแสดงความเสียใจให้กับเขา มันควรจะเป็นแววตาแบบไหนกันที่พวกเขาต้องการผมสังเกตเห็นบางอย่างที่ซ่อนอยู่หลังร้อยยิ้มและความสนุกสนาน ในบริบทความรู้ของผมเรียกมันว่า “ความเจ็บปวด” ซึ่งผมไม่มีวันรู้ความหมายที่แท้จริงของคำนี้ ณ สถานที่แห่งนี้ การฝ่ากำแพงความรู้สึกที่ซ่อนอยู่หลังดวงตาเหล่านี้ คงยากกว่าการก้าวข้ามกำแพงแห่งดินแดนต้องห้ามแห่งนี้มากมายหลายเท่านัก

ผมไม่อยากรู้สาเหตุในการเข้ามายังดินแดนแห่งนี้ของพวกเขา แต่ผมอยากรู้มากกว่าว่า พวกเธอจะใช้ชีวิตอย่างไรต่อไปเมื่อออกจากสถานที่แห่งนี้ ช่วงเวลาในนี้กับโลกภายนอกนั้นย่อมหมุนด้วยอัตราเร่งไม่เท่ากัน ถ้าหากว่าโลกที่พวกเขาอยู่ตอนนี้เดินไปอย่างเอื่อยช้าไร้จุดหมาย แล้วเวลาออกไปจากที่นี่แล้วต้องพบเจอกับโลกแห่งความเป็นจริงที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว แล้วพวกเขายังคงจะก้าวไปทันมันหรือไม่ พวกเขาจะสามารถปรับก้าวแห่งจังหวะชีวิตของพวกเขาให้ตรงกับโลกแห่งความเป็นจริงได้หรือไม่ ? ยังคงจะมีใครที่ช่วยพยุงยามที่พวกเขาปรับก้าวย่างชีวิตหรือเปล่า ? จะมีคนในโลกภายนอกรอคอยพวกเขาอยู่หรือไม่ ? หรือว่าพวกเขาถูกลบเลือนความทรงจำจากสังคมภายนอกผ่านวันเวลาที่ล่วงเลย...

พวกเขาบางคนใช้ชีวิตในนี้มานาน นานเสียจนไม่กล้าที่จะเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริงภายนอก เพราะมันคงยากนัก ที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่เมื่อเหลือเวลาในชีวิตไม่ถึงหนึ่งในสี่ของเวลาในโลกนี้ หลายคนไม่อยากออกไปจากที่นี่ สิ่งที่ผู้คนมองว่าน่ากลัว แต่สำหรับบางคนมันคือความรู้สึกปลอดภัยสำหรับเขา โลกสองแห่งนี้ถูกกั้นไว้เพียงแค่กำแพงสูงไม่กี่เมตร แต่ทำไมช่วงเวลา และความหมายในการใช้ชีวิตช่างต่างกันลิบลับ

ไม่น่าเชื่อว่าอิทธิพลแห่งศรัทธาในการดำเนินชีวิตจะถูกก่อขึ้นสูงยิ่งกว่ากำแพงที่กั้นเสียอีก มันแยกโลกให้เป็นสองใบได้ และในแต่ละด้านล้วนมองไม่เห็นเหตุผลของการใช้ชีวิตในอีกด้านได้ชัดเจนนัก ได้เพียงแค่จ้องมองซึ่งกันและกัน ผ่านความจำกัดของตัวเอง หากการก้าวเข้ามาในที่แห่งนี้จะช่วยให้ผมเข้าใจอะไรได้สักเพียงเล็กน้อย นั่นก็จะเป็นความยินดีเป็นอย่างยิ่ง

แต่ว่าทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ ไม่ได้ต้องการเพียงแค่การมองเพียงอย่างเดียว การเข้าไปสัมผัสด้วยรักต่างหากที่จะช่วยเยียวยาความขุ่นหมองของโลกได้...

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2551

ฉัน ใน แนวนอน...

ฉันเอนกายลง หลังจากที่ไม่ได้ทำอย่างนี้มาแสนนาน เมื่อแผ่นหลังกระทบแผ่นไม้ริมคลองที่ไหลรินเอื่อยเฉื่อย ประดุจว่ามันไม่ต้องการเร่งเร้าไปกับจังหวะโลกปัจจุบัน ฉันก็ได้พบปะเพื่อนเก่าบนท้องนภา ที่ส่งแสงทักทายกันอย่างเป็นกันเอง ฉันกระหยิ่มในใจเป็นการตอบรับ ค่ำคืนช่างเงียบงันแม้กระทั้งสายลมก็ไม่แวะวนมาทักทาย ทำให้บรรยากาศช่างเงียบเหงา ฉันยังคงทักทายเพื่อนเก่าผ่านความเงียบงัน

ฉันชอบที่จะใช้ชีวิตในแนวนอนเช่นนี้เพราะมันดูเหมือนว่าฉันได้หลบวิถีกระสุนแห่งปัญหาที่ถาโถม และทุกครั้งที่แอนกายลงเช่นนี้ มิตรภาพแห่งความสวยงามก็มิเคยเปลี่ยนแปลงไปเลย เหล่าดวงดาวยังคงที่ไม่หนีหายไปไหน หรือว่าพวกมันรอคอยการกลับมาพบเจอจากฉันอยู่ตลอดเวลา

ทุกครั้งที่ฉันได้อยู่ที่นี่มันเหมือนการได้หลุดออกมาสู่โลกอีกใบหนึ่ง ซึ่งเงียบสงบ และเป็นกันเอง ไม่สับสนวุ่นวายเหมือนกับการยืนขึ้นใช้ชีวิตในแนวตั้งที่จะต้องเจอสิ่งที่ปะทะ กระทบ จนบางครั้งก็เจ็บแทบจะทรุดตัว ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าการใช้ชีวิตเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง หรือเพียงแค่กระแสแห่งค่านิยม เหตุผลของการใช้ชีวิตเช่นนั้นอยู่ที่ไหนฉันไม่เคยรู้ แต่สังคมนี้ได้บอกว่านี่แหละคือสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าคุณยังยืนหยัดแม้เจ็บปวดสักเพียงไหนคุณก็จะชนะ แต่ฉันว่าการพ่ายแพ้นั้นสวยงามกว่าชัยชนะที่เต็มไปด้วยเจ็บปวดมากนัก

แต่บางครั้งฉันก็ถูกกระแสแห่งค่านิยมนี้ พัดพาเสียจนโซเซ เหมือนกับการยืนอยู่กลางแม้น้ำที่เชียวกราด ที่ไม่สามารถยืนอยู่ได้ด้วยเหตุผลของตัวเอง แต่ต้องถูกซัดกระหน่ำด้วยเหตุผลของโลกปัจจุบัน และบางครั้งฉันก็สำลักวัตถุนิยมที่ทุกวันนี้ผู้คนได้บริโภคมันแทนอาหารแห่งปัจจัยไปเสียแล้ว ผู้คนมากมายได้ยอมที่จะจ่ายแม้ไม่มีเพื่อที่จะได้วัตถุสมมติเหล่านั้นมาตอบสนองความต้องการของตน ใช่มันคือความต้องการ ไม่ใช่ความจำเป็น เมื่อไหร่หนอ โลกนี้จะหลุดพ้นจากสิ่งสมมติเหล่านี้เสียที ฉันก็ยังคงได้เพียงแค่สงสัย และตั้งคำถาม

คนเราน่าจะใช้ชีวิตให้พอดี เหมือนกับสายน้ำเล็ก ๆ สายนี้ ที่ทุกวันมันยังคงไหลรินไปเรื่อย ๆ ไม่มากไป ไม่น้อยไป ไม่เร็วไป ไม่ช้าไป มันยังคงไหลไปโดยที่ไม่มีแรงกดดันใด ๆ ฉันว่าชีวิตของสิ่งที่เรียกว่า “มนุษย์” ไม่ได้มีอะไรมากมาย บางครั้งสิ่งนี้ก็ไม่ได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของการใช้ชีวิตมากไปกว่า สายน้ำเล็ก ๆ สายหนึ่ง หรอก

ฉันยังคงแนบแผ่นหลังบนแคร่ไม้แห่งนี้ ปล่อยให้ความรู้สึกดี ๆ ไหลผ่านแผ่นหลังเข้าสู่หัวใจหลับตาพริ้มหลบกระแสอันเชี่ยวกราดของสังคม จินตนาการโลดแล่นไปบนท้องฟ้าอันไกลโพ้น ฉันไม่อยากที่จะยืนขึ้นเลยเพราะทุกครั้งที่ยืนขึ้น เหมือนกับว่าฉันต้องก้าวเข้าสู่โลกที่น่าหวาดหวั่น ฉันอยากสานมิตรภาพระหว่างฉันและดวงดาวอย่างนี้จนกว่าโลกจะสูญสิ้นเลยทีเดียว...

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551

เสียงปืนแตก อีกสักกี่ครั้งหนอ ?


เสียงปืนแตก ตอนรับการมาเยือนของเช้าวันที่ 2 กันยายน ขณะที่คนไทยหลายคนกำลังหลับสบายใต้ผ้าห่มอุ่นในที่นอนของตัวเอง แต่ในเวลาเดียวกัน คนไทยอีกกลุ่มหนึ่งกำลังใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย

เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างคนสองกลุ่ม สองความคิด สองอุดมการณ์ มีให้พบเห็นบ่อย ๆ ในบ้านเมืองของเรา ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่งที่คนไทยต้องฆ่าฟันกันเอง ผมรู้สึกสลดใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อตื่นขึ้นมาพบกับข่าวการบาดเจ็บ และมีการทำร้ายร่างกายกันจนกระทั้งเป็นเหตุให้มีคนเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว กี่ครั้งแล้วที่เราคนไทยต้องสูญเสียจากการเมือง สูญเสียจากผลประโยชน์ และความต้องการของคนบางกลุ่มการปฏิวัตินั้นเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า หรือว่าเรากำลังเรียนรู้ประวัติศาสตร์เพื่อย่ำอยู่ในความเจ็บปวดเดิม ๆ สิ่งเหล่านั้นที่เกิดขึ้นบนเส้นทางแห่งประชาธิปไตยของประเทศไทย ไม่ได้สอนอะไรเราเลยหรือ ?

ตั้งแต่เริ่มมีการปฏิรูปการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ในปี 2475 นั้น การเมืองไทยเหมือนกับย่ำอยู่กับทีมาโดยตลอด การพยายามปฏิวัติครั้งแรกเกิดขึ้นตั้งแต่ที่ประเทศไทยปฏิรูปการปกครองไม่ถึงปี แต่ไม่สำเร็จจึงถูกเรียกว่า “กบฏบวรเดช” และอีกหลายต่อหลายครั้งที่มีการ ปฏิวัติและการทำรัฐประหารอีกมากมาย เหตุการณ์เหล่านั้นทำให้เกิดการสูญเสียเลือดเนื้อของคนไทยด้วยกัน และมันยังยืนยันความไม่ก้าวหน้าทางประชาธิปไตยของประเทศไทย

และวันนี้ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่ง ที่ยืนยันได้ว่าการเมืองไทยนั้นเป็นเครื่องมือหากินของคนบางกลุ่มจริงๆ ผมไม่รู้ว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างนี้ไปอีกกี่ยุคกี่สมัย หรือต้องเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ได้ยังอยู่ในใจของคนไทย เมื่อใดที่นักการเมืองไทยจะตระหนักในภาระหน้าที่ ที่แท้จริงของตนเขาเหล่านั้นจะรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาทำอยู่นั้นได้เป็นการทำลายประเทศชาติและบ้านเมือง รวมไปถึงระบอบประชาธิปไตยที่คนไทยส่วนหนึ่งเสียเลือดเสียเนื้อก่อนที่จะได้มันมา พวกเขากำลังทำให้คุณค่าเหล่านั้นหมดสิ้นไป เพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของพวกเขา

ผมคงเป็นคนหนึ่งที่ได้เพียงแค่ทำในส่วนหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด มันอาจไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากมาย แต่ผมภูมิใจที่ไม่เป็นส่วนหนึ่งในเครื่องมือทางการเมืองของใครบางคน เราคนไทยทุกคนอาจจะเป็นส่วนเล็กในระบอบประชาธิปไตย แต่ว่าหากไม่มีส่วนเล็กน้อยเหล่านี้ ไฉนเลยจะมีจุดที่ใหญ่ขึ้นมาได้ ถ้าวันนี้เพียงแต่เรามีจิตสำนึกตระหนักในหน้าที่ของตน และมีสติในการตรึกตรองก่อนที่จะทำสิ่งใดลงไป ผมเชื่อว่าเหตุการณ์สูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่ามันคงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะเริ่ม “ปฏิวัติตัวตน” ของเราก่อนที่เราจะคิดปฏิวัติประเทศชาติ...

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ผู้แสวงหา...

ฉันออกเดินทางไปยังดินแดนต่าง ๆ เพื่อตามล่าหาความหมายที่แท้จริงในชีวิต ฉันมีธนูเป็นอาวุธ ทุกครั้งที่ฉันง้างสาย และปล่อยลูกธนูไปมันไม่เคยพลาดเป้า แม้เพียงสักครั้งก็ยังไม่เคย

วันนี้ฉันยืนอยู่ ณ ดินแดนแห่งใหม่เป็นการมาเยือนครั้งแรกของฉัน ถึงแม้เป็นอย่างนี้ฉันก็ไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย ทั้งยังคาดหวังจะได้พบเจอสิ่งแปลกใหม่ที่มิเคยมีผู้ใด พานพบมาก่อน ฉันเร่งฝีเท้าไปยังดินแดนเบื้องหน้า ไปตามที่สายตามองเห็น เมืองนี้ช่างงดงามแปลกตายิ่งนัก

ฉันต้องแปลกใจเมื่อก้าวข้ามประตูเมือง เมื่อพบเจอรอยยิ้มของผู้คน และการโบกมือทักทายอย่างเป็นกันเองราวกับว่าฉันมิใช่คนแปลกหน้า ต่างจากหลายแห่งที่ฉันได้ไปเยือนมาช่างน่าอัศจรรย์ แต่ฉันก็มิอาจวางใจ กำอาวุธคู่กายไว้แน่น เพราะสิ่งที่ได้เรียนรู้มากล่าวไว้ว่า “ในความงดงามมักแฝงด้วยพิษร้ายเสมอ” ฉันก้าวเท้าเข้าไปอย่างมั่นคงสายตาจับจ้องสังเกต มิอาจวางใจในสิ่งที่เห็นได้

ฉัน สะดุ้งเฮือก !!! หันหลังง้างธนู ด้วยสันชาติญาณ แต่กลับต้องลดแขนลงเมื่อภาพข้างหน้ามิใช่ศัตรูแน่เป็นภาพของเด็กน้อยที่นำดอกไม้ สีสดสวยยื่นให้ ฉันมิอาจวางใจรับไว้ แต่แววตาของเขาคลายกังวลให้ฉันเป็นอย่างยิ่ง ฉันรับดอกไม้ เด็กน้อยยิ้ม แล้ววิ่งหันหลังจากไป ทิ้งเพียงดอกไม้ และความอุ่นใจไว้กับฉัน

ฉันมิเคยพบเจอสิ่งใดเช่นนี้ แม้ว่าจะท่องไปยังที่ต่าง ๆ มากมาย ทุกที่ ที่ฉันไปเยือนล้วนแต่มี พยันตรายแอบแฝง หากพังพลาดเมื่อใด ชีวิตอาจดับสูญ โลกนี้สอนให้ฉันยืนหยัดด้วยตนเอง แต่ในดินแดนแห่งนี้ ราวกับว่าทุกคนไร้สิ่งกังวลใด ๆ ทุกคนใช้ชีวิตอยู่อย่างผาสุก ร้อยยิ้มและการเผื่อแผ่ มีให้เห็นอยู่เต็มลานเมือง ต่างจากทุกที่ในโลกที่ทุกลานเมืองจะมีแต่รอยเลือด และการแย่งชิง

ไม่น่าเชื่อว่าดอกไม้เพียงดอกเดียวจะทำให้ฉันละมือจากอาวุธได้

ความแข็งแกร่ง และอาวุธคงไร้ค่าสำหรับเมืองนี้ เพราะที่นี้มีความอ่อนโยนและไมตรีเป็นอาวุธที่ทรงพลังคอยปกป้องดินแดนนี้ ฉันเชื่อว่ามิอาจมีนักรบ หรือผู้ใดจะสามารถเอาชนะผู้คน ณ ดินแดนแห่งนี้ได้ หัวใจฉันเริ่มร่ำร้องที่จะอยู่ที่นี่ แต่ฉันมิอาจเชื่อฟังมันได้ เพราะหากฉันอยู่ที่นี่ชีวิตฉันคงไร้ค่าเหมือนดังเช่นเจ้าธนูผู้เคยองอาจ ดินแดนแห่งนี้คงไม่เหมาะกับเราทั้งสอง

ฉันจึงจากมาโดยมิกล่าวลา ฉันคงเป็นแค่ผู้ผ่านทาง มิอาจฝังตัวอยู่ที่ใดได้ หรือแท้จริงมันเป็นเพียงแค่เส้นตัดของกาลเวลา ที่มาบรรจบกันเพียงแค่ชั่วครู่ แล้วผ่านเลยไป

ฉันจึงจากดินแดนแห่งนั้นมา พร้อมกับอาวุธชิ้นใหม่ . . .



วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เด็กชายน้อยกับหมวกสีขาว


เด็กชายน้อยสวมหมวกสีขาว ยืนเพียงลำพังเหล่าเปลี่ยวอยู่ท่ามกลางสวนใหญ่ อยู่ไปเพียงวัน ๆ ไร้ซึ่งความหมายใด ๆ ยืนเดียวดายไร้ซึ่งสายลม

ท่ามกลางความเปลี่ยวเหงาที่มีมากกว่าพื้นที่ในสวนใหญ่ เด็กชายน้อย ยืนไม่ไหวติงสงบนิ่งเพียงลำพัง รอคอยเพียงคำสั่งเจ้าของสวนว่าควรทำสิ่งใด

“หมวกใบนี้จะเป็นสิ่งที่บอกว่าเจ้าเป็นเช่นใด”
เจ้าของสวนส่งเสียงใหญ่น่าเกรงขามบอกกับเด็กชาย เด็กชายตัวน้อยจึงรู้ในความหมายของหมวกใบขาวนั้น

เด็กชายน้อย หวั่นพรั่นพรึง คิดคำนึงว่ามันจะเป็นเช่นไรต่อไป ความนิ่งไหวเลือนหาย ความกระวนกระวายเข้ามาแทนที่ เด็กชายตัวน้อยเริ่มเฝ้าคอยจับตามองหมวกใบนั้น ไม่อยากให้มันเปลี่ยนสีอยากให้มันคงเดิมไม่เปลี่ยนวิถี เพื่อบ่งบอกว่าเขายังคงภัคดีต่อเจ้าของสวนใหญ่

แต่นานวันผ่านไปยิ่งตั้งใจที่จะไม่เปลี่ยนท่าที ยิ่งตั้งใจทำให้หมวกใบนั้นคงที่ ก็ยิ่งเปลี่ยนท่าทีภายในใจตน หมวกที่เคยขาวกลับกลายหมองหม่น สีของมันเริ่มสับสน สับเปลี่ยนวกวน เพราะตัวเด็กชายเอง เด็กชายไม่เข้าใจว่าทำไมสิ่งที่ตนทำราวกับว่าเป็นตัวทำตนแปรผัน หรือ ว่าต้องทำเช่นไร

เจ้าของสวนกลับมาอีกครั้ง ตามเวลานัดหมาย แท้ที่จริงแล้วเฝ้ามองอยู่มิวางวาย เห็นท่าทีของเด็กชายรู้สิ้นทุกทาง

เสียงใหญ่น่าเกรงขามเฉลยไข ว่าทำไมหมวกใบขาวเปลี่ยนสี แท้ที่จริงเป็นเพราะท่าที ของเด็กชายที่ไม่ใช่ตน หากเด็กชายคลายกังวนถึงเรื่องหมวก แล้วใช้ชีวิตตามสะดวกไร้สิ่งกดดัน ความเป็นตัวตนของตนนั้น คือสิ่งอัศจรรย์สรรค์สร้างความบริสุทธิ์ เอย...

วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ใบไม้ร่วงหล่น เธอคนนั้นหล่นหาย…

สายลมพลิ้ว ริมแม่น้ำบัตซึ นำพาความรู้สึกเหงาเข้ามาอย่างจับใจ สายน้ำยังคงนิ่งสงบใบไม้ร่วงหล่น ปลิวกระจายไปทั่วแผ่นน้ำ บ่งบอกการมาเยือนของฤดูใบไม้ผลิ ฉันยังคงยืนอยู่บนสะพาน อะเบคคุ ซึ่งเชื่อมระหว่างสองฝากฝั่งแม่น้ำ บัตซึ

ด้านหนึ่งเป็นหมู่บ้าน โฮะริ ซึ่งก็มีความหมายเช่นนั้นจริง ๆ เพราะหมู่บ้านนี้ถูกล้อมรอบไปด้วย คู ที่ถูกขุดเชื่อมกับแม่น้ำบัตซึ เพื่อนำน้ำไปทำการเกษตรในหมู่บ้าน ส่วนอีกหมู่บ้านหนึ่งเป็นหมู่บ้านของฉัน ชื่อว่า ฮิบะจิ ซึ่งก็ได้มาจากการที่คนในหมู่บ้านทำอาชีพเผ่าถ่าน จึงทำให้หมู่บ้านของฉันมีความหมายว่า ที่ตักถ่าน ฉันชอบความหมายของมัน

ฉันชอบสะพาน อะเบคคุ แห่งนี้ เพราะมันเป็นเหมือนจิตวิญญาณของคนทั้งสองหมู่บ้าน มันคือที่ ที่สองหมู่บ้านใช้ในการไปมาหาสู่ และการแลกเปลี่ยนสิ่งของ ต่าง ๆ แต่ที่ชอบที่สุดคือ ตำนานที่เล่าขานถึงที่มาของชื่อ อะเบคคุ มีเรื่องเล่าว่า สะพานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นหลังจากการสูญเสียของคนทั้งสองหมู่บ้าน เนื่องมาจาก ชาย หญิง คู่หนึ่งที่แอบหลงรักกัน ทั้งสองอยู่คนละหมู่บ้าน ในสมัยก่อนยังไม่มีสะพาน และคนทั้งสองหมู่บ้านนี้ก็ไม่ยอมไปมาหาสู่ และพูดคุยกันเลย เหตุผลก็เพราะว่า ทะเลาะกันเรื่องการสร้างสะพาน

หมู่บ้าน โฮะริ บอกว่าให้หมู่บ้าน ฮิบะจิ เป็นคนเริ่มสร้างก่อนจากด้านล่าง แล้วพวกเขาจะสร้างด้านบน แต่หมู่บ้าน ฮิบะจิ ไม่ยอม บอกว่า พวกเขาจะสร้างด้านบนของสะพาน ให้หมู่บ้าน โฮะริ ลงมือสร้างก่อน เพราะหมู่บ้านโฮะริ ใช้ประโยชน์จากแม่น้ำมากกว่า จนในที่สุดก็ตกลงกันไม่ได้ เลยไม่มีใครลงมือสร้างสะพาน

และเมื่อชาย หญิงคู่นั้นรักกันเลยทำให้ถูกครอบครัว และคนในหมู่บ้านกีดกันจนในที่สุดทั้งคู่ตัดสินใจจบชีวิตของพวกเขา ณ แม่น้ำแห่งนี้

แม้วันเวลาจะล่วงเลยมานานแล้ว และตำนานแห่งความจริงนั้น นับวันจะถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา แต่สิ่งที่หลงเหลือมาจากเหตุการณ์ที่แสนเจ็บปวดก็คือ ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนทั้งสองหมู่บ้าน

คงเหมือนกับที่ใครบางคนพูดไว้ ว่า “หลังพายุฝน ท้องฟ้าจะงดงามเสมอ”

ใบไม้ยังคง ร่วงหล่น... และฉันยังคงยืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้

ทุกครั้งเมื่อฉันคิดถึง ตำนานนี้ ฉันก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึง โทจิ เราเป็นเหมือนกับตำนานนี้ แต่ต่างกันตรงที่ฉันและเขาไม่ได้ถูกกีดกันในเรื่องของความรัก นั้นคงเป็นเพราะคู่รักในตำนานสองคนนั้น ที่ทำให้คนทั้งสองหมู่บ้านคืนดีกันจึงทำให้คนในรุ่นหลังอย่างเราไม่ต้องถูกความกำแพงแห่งความชิงชังขวางกั้นเอาไว้

ฉันและโทจิ มักจะมายืนดูดวงอาทิตย์ ยามที่มันลาลับขอบฟ้าที่นี้เป็นประจำ ทุกครั้งที่ฉันจ้องมองมันพร้อมกับเขาทำให้หัวใจฉันอบอุ่น เหมือนกับแสงอุ่น ๆ ของ ดวงอาทิตย์ยามลับขอบฟ้า เขาจะโอบไหลฉันไว้ทุกครั้ง เหมือนกับกลัวว่าสายลมอ่อน ๆ ยามเย็นที่ลัดเลาะแม่น้ำแห่งนี้ จะพัดพาฉัน ไปจากเขา

และที่นี่ “คำสัญญา” ของสองเราได้เกิดขึ้น...

สงครามได้พรากเราสองจากกัน คงเหลือไว้เพียง สายแห่งความสัมพันธ์ ที่เรียกว่า “คำสัญญา” ซึ่งนับวันมันจะยิ่ง บางลง ๆ ทุกขณะ ฉันไม่เคยล่วงรู้ถึงเหตุผลของสงครามเลยว่า เพราะเหตุไรสงครามจึงต้องเกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่มันไม่เคยให้สิ่งดีกับใครเลยไม่ว่าจะเป็น ผู้แพ้ หรือ ผู้ชนะ หรือแม้กระทั่ง ทั้ง ฉัน และเขา ผลของมันช่างปวดร้าวซะเหลือเกิน...

ฉันหลับตาลง หวังว่าการลืมตาอีกครั้งจะมีเขาปรากฎอยู่ตรงหน้า พร้อมกับคำสัญญาที่เราให้ไว้ต่อกัน หากแต่ว่าความจริงช่างต่างจากความฝัน ฉันไม่กล้าที่จะลืมตาขึ้นมาดูภาพแห่งความเป็นจริงที่อยู่เบื่องหน้า ความเป็นจริงที่ฉันเฝ้ารอ และไม่เคยรู้เลยว่ามันจะเป็นเช่นไรเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง

แสงอาทิตย์ยามเย็นตกกระทบแม่น้ำ บัตสึ สลับกับใบไม้แห้งเหนือผิวน้ำ ยิ่งทำให้ฉันหวาดหวั่น ความหวังของฉันคงลาลับไปพร้อมกับแสงสุดท้ายของวันแห่งคำสัญญานี้

ทำไมดวงอาทิตย์วันนี้ช่างดูเศร้าหมองเสียเหลือเกิน หรือว่า ดวงอาทิตย์วันนี้ก็มองมายัง ฉัน ก่อนมันจะลาลับเช่นกัน...

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551

น้ำตาร่วง ผ่านหิมะอันหนาวเหน็บ...

...ฉันเหม่อมอง ออกไปนอกหน้าต่างจ้องมองปุยหิมะร่วงหล่น
พวกมันค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ๆ จนในที่สุดท้องถนน และต้นไม้ก็กลายเป็นสีขาวโพลน ในใจฉันก็เช่นกันตอนนี้มันถูกปกคลุมไปด้วยความอ้างว้าง ต่างเพียงแค่มันเป็นสีดำอันมืดมิดก็เท่านั้น
ฉันไม่เคยเชื่อว่าวันเวลาจะพัดพาเอาสิ่งที่เรียกว่าความทรงจำออกไปจากชีวิต ดังที่ใคร ๆ เขาพูดกันเพราะสิ่งนี้มันไม่เคยจากฉันไปสักที แม้ว่าบางครั้งฉันจะพยายามผลักใสมันสักเท่าไหร่ มันก็ยังคงดื้อด้านวิ่งอยู่ในหัวฉันเสมอ แต่เมื่อฉันลองนั้งลงแล้วนิ่งสงบ ความทรงจำเหล่านั้นกลับกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำผ่านดวงตาคู่นี้ของฉัน
และฉันไม่เคยล่วงรู้ถึงเหตุผลของมันเลย
ต้นไม้ยังคงนิ่งสงบ แต่ถนนสายนั้นเปลี่ยนไปด้วยภาพของชายในชุดคลุมสีดำ เงาดำจากหมวกได้ปิดบังใบหน้าของเขาจากแสงสว่างของเสาไฟริมทาง แต่ทว่า ความมืดมิดมิได้ปิดบังความรู้สึกที่ฉันสัมผัสได้ผ่านสายหิมะโปรยปราย
ภาพแห่งอดีตสับเปลี่ยนกันวิ่งในสมองของฉันแต่ภาพที่ชัดที่สุดคือภาพภาพแห่งความจริง ณ ปัจจุบัน
ภาพหยดน้ำตาที่กระทบแสงไฟ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองมายังฉัน ทำให้ฉันหลุดจากภวังแห่งความคิด ฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้ริมหน้าต่าง หรือว่าเป็นเพราะหยดน้ำตานั้นที่ดึงดูดฉันให้เข้าหา
ฉันรู้สึกว่าหนทางระหว่างเขากับฉันนั้นมันช่างยาวไกล แต่ละก้าวมันช่างยาวนาน เหมือนฉันกำลังเดินอยู่บนถนนแห่งการตัดสินใจ ถนนสายนี้ปลายทางคือเขาคนนั้น แต่ถ้าฉันหันกลับ ต้นสายของมันคืออดีตที่เจ็บปวด ฉันกลัวที่จะหวนคืน
ฉันหยุดนิ่งภาพตรงหน้าคือเขาคนนั้นที่ฉันรอคอยการกลับมา เสียงลมหายใจของเขามันบอกเล่าความหมายได้ดีกว่าถ้อยคำใด ๆ ในโลก เวลานี้มีเพียง หยดน้ำตาของเราสอง และ สายหิมะอันโปรยปราย
แต่ทำไมในหัวใจฉันกลับรู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน...

วันนี้ฝนตก เสียงสายฝนกระซิบบอกบางอย่างกับฉัน...

วันนี้ฝนตก เสียงสายฝนกระซิบบอกบางอย่างกับฉัน...

1
ฉันพบกับเคนจิในวันที่สายฝนกระหน่ำ เราทั้งคูเปียกปอนยืนหลบฝนอยู่ป้ายรถเมล์ริมทางไม่มีบทสนทนาใดระหว่างคนแปลกหน้าทั้งสอง มีเพียงเสียงฝนพร่ำ กับเสียงลมหายใจที่เล็ดลอดผ่านเสียงสายลม

ฉันรู้สึกว่าสายฝนในวันนั้นทำไมยาวนานเหลือเกิน และเหมือนกับว่าช่วงเวลาหยุดนิ่งไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหวแม้สายฝนก็หยุดนิ่งเมื่อสายตาของเราได้ประสานกันผ่านแสงไฟสลั่ว...

แต่ทุกอย่างไม่ได้จบลงไปพร้อมกับสายฝน หากแต่ว่ามันคือการเริ่มต้น

2
แสงแดดยามเช้าของวันอาทิตย์ ได้ลัดเลาะกรอบหน้าต่างผ่านผ้าม้านสีฟ้าที่กำลังพลิ้วไหว ด้วยสายลมอ่อน ๆ ฉันยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง ต่างจากความคิดที่วิ่งแล่นไปถึงวันเวลาแห่งความสุข และบอกตัวเองว่ามันไม่ใช่ความฝัน หากแต่ว่ามันเป็นความจริงที่ผ่านพ้น และฉันก็ไม่รู้ว่าจะพบพานกับช่วงเวลาเช่นนั้นได้อีกเมื่อใด หลังจากที่เคนจิจากฉันไปฉันยังคงเฝ้ารอ... แม้ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ แต่การรอคอยในสิ่งที่มองไม่เห็นนั่นช่างเป็นสิ่งที่สวยงามยิ่งนัก ฉันเปิดประตูห้องมองไปยังห้องตรงข้าม ที่ ที่ เราได้พบกันอีกครา

3
ภาพของเคนจิประกฎผ่านกรอบของประตูห้อง ฉันรู้สึกว่าโลกหยุดหมุนอีกครั้ง ฉันไม่อยากให้เวลาเดินไปข้างหน้า เพราะไม่รู้ว่าอนาคตมันจะเป็นเช่นไรต่อไป สายตาเราประสานกันก่อให้เกิดสายใยบาง ๆ ระหว่างคนแปลกหน้าสองคน หลังจากการสนทนาสั้น ๆ ในวันนั้น ก็ก่อให้เกิดรากฐานแห่งความสัมพันธ์ของคนสองคน จากแปลกหน้า กลับกลายเป็นคุ้นเคย... และทุกครั้งที่เสียงประตูห้องตรงข้ามดังขึ้น สิ่งที่ตามมามักจะเป็นการต่อเติมฐานแห่งความสัมพันธ์ จนเมื่อรู้สึกตัวอีกทีมันก็เปลี่ยนเป็นรูปปั้นแห่งความรักไปเสียแล้ว

4
ฉันนั้งจ้องมองผ่านบานประตู ประตูห้องตรงข้ามยังคงเหมือนเดิมแต่เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นนั้นไม่มีอีกต่อไป อีกสิบวันก็จะถึงวันครบรอบการจากไปของเคนจิ การจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ฉันไม่ได้เตรียมใจมาก่อนมันช่างยากเหลือเกินที่เราจะยอมรับกับความจริงอันโหดร้ายได้ ฉันยังคงจ้องมองประตูบานเดิม และคิดถึงวันที่มันปิดสนิท ไม่ถูกเปิดใช้อีกต่อไป

5
ฉันหยิบร้องเท้าคู่เก่ง หลังจากเตรียมตัวออกไปข้างนอก เสียงที่คุ้นหูร้องทัก “ร้องเท้าสวยจัง” ฉันหันไปสบตาเจ้าของเสียงและยิ้มให้พร้อมก้าวจากไป โดยไม่คิดเลยว่าการจากไปครั้งนี้จะเป็นการจากอันเป็นนิรันดร์


6
ฉันกลับเข้ามาในห้อง จ้องมองทุกสิ่งที่เหมือนเดิม และหวังจะได้พบเจอเขาอีกครั้ง หากแต่ความจริง คือ ความว่างเปล่าที่น่าหวาดหวั่น หรือสิ่งนี้ที่เรียกว่า ความเจ็บปวด...

กรอบ...



เส้นตรงเรียงรายตัดกันไปมา แสดงผลลัพธ์ออกมาเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเต็มเพดานในห้องสี่เหลี่ยมขนาดย่อม ได้ตกกระทบภายในม่านตาของฉันส่งการประมวลผลไปยังสมองทำให้เกิดความรู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวอย่างบอกไม่ถูก

แสงไฟสีแดงจากหลอดที่ถูกขึงติดกับเพดานด้วยสายไฟเส้นเดียวห้อยแกว่งไกวไปตามแรงลมที่มีต้นกำเนิดมาจากพัดลมติดเพดานที่อยู่ข้าง ๆ แม้แรงลมจะทำให้หลอดไฟไหวไปมา แต่มันมิได้สะทกสะท้านต่อผิวกายของเจ้าจิ้งจกที่เกาะอยู่ข้างฝาผนังแม้เพียงนิด มันกลับเกาะนิ่งไม่ไหวติงเหมือนกำลังรอคอยโอกาสบางอย่างที่กำลังจะผ่านเข้ามาในชีวิต...

ผนังทั้งสี่ด้านทอดตัวจรดกันไร้รอยแยกราวกับว่ามันกำลังปิดกั้นชีวิตฉันออกจากโลกภายนอก และแม้จะมีประตู ฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะช่วยปลดปล่อยฉันสู่โลกภายนอกสักนิดเดียว ทั่วพื้นเต็มไปด้วยกองหนังสือหลากประเภทซึ่งมันถูกพันธนาการจากผงฝุ่น และเศษแมลงเล็ก ๆ ที่สิ้นชีพลงภายในโลกอันไร้อิสรภาพแห่งนี้ สำหรับเจ้าแมลงพวกนี้ห้องนี้อาจจะดูโอ่โถง แต่มนุษย์อย่างฉันมันช่างแคบ แต่หลายครั้งฉันมักจะชอบอยู่ในที่แคบไร้อิสระมากกว่าโลกกว้างที่เต็มไปด้วยอิสระไร้ขอบเขตจนหลายคนยอมให้อิสระนั้นทำลายตัวตนที่แท้จริงซึ่งถูกกักขังอยู่ในจิตวิญญาณของตน

แมงมุมหลายตัวกำลังชักใยของมันอย่างขะมักเขม้น หรือมันกำลังสร้างสรรค์งานศิลป์ผ่านสัญชาตญาณแห่งชีวิต ราวกับว่ามีผู้ใดได้บ่งบอกจุดมุ่งหมายในชีวิตให้กับมัน หลายครั้งฉันอิจฉาพวกมันเพราะมันเข้าใจชีวิตมากกว่าฉันเสียอีก สายใยของมันถูกเชื่อมโยงติดกันอย่างเป็นระบบมันโหนตัวไปมาจากมุมหนึ่งสู่อีกมุมหนึ่งเพื่อเชื่อมต่อเส้นใยเหล่านั้นกับผนังห้อง และแล้วก็ถึงเวลานิ่งสงบรอคอย...
มันหยุดนิ่งแต่ไม่หยุดที่จะรอคอย

แม้ในห้องจะดูรกรุงรัง เขลอะขละไร้สิ่งใดประดับเติมแต่งความงดงามตามผนังและพื้นห้อง คนภายนอกอาจมองว่าสกปรก แต่ฉันว่านี่คือความจริงไร้สิ่งเจือปนไม่ใช่การแสดงซึ่งหาดูได้จากโลกที่อยู่นอกประตูบานนั้นโลกที่ดูสวยงามเต็มไปด้วยศีลธรรม ฉาบไปด้วยผู้คนที่มีรสนิยม การศึกษา ความรู้ แต่มิได้เข้าใจความหมายของชีวิตมากไปกว่าแมงมุมซักตัว มิได้เรียนรู้ที่จะนั่งสงบรอคอยเหมือนเจ้าจิ้งจก ไม่รู้จักที่จะโอนอ่อนตามกระแสลมแรงเหมือนเช่นหลอดไฟในห้องแคบ ๆ ที่ทั้งเก่า เขลอะขละ รกรุงรัง

ฉันไม่กล้าแม้เพียงย่างล้ำออกไปจากประตูบานนี้เลยแม้สักครั้งเดียว...

แค่ เครื่องมือสนองกิเลส...

คุณรู้จักฉันดี...

ในชีวิตคุณเคยผ่านฉันมาแล้วทั้งนั้น โดยเฉพาะผู้ชายทุกคน จะต้องมีประสบการณ์ร่วมกับฉันมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายในชาติใด ภาษาไหน ก็ล้วนมีประสบการณ์ร่วมกับฉันมาแล้วทั้งนั้น

และแน่นอน ผู้ที่นำพาฉันมาพบเจอพวกผู้ชายเหล่านั้น ก็เป็นผู้ชายที่มีผลประโยชน์ในตัวฉันอีกเช่นกัน พวกเขาไม่ค่อยใสใจในความรู้สึกฉัน ว่าฉันจะคิดอะไร เป็นยังไงนั้นยังไม่พอ ผู้ที่ได้ผลประโยชน์จากฉันยังร่วมใช้ฉัน ไม่ต่างกับผู้ชายเหล่านั้น เขาใช้ฉันอย่างไม่ยั้งคิด มิหนำซ้ำยังไม่ค่อยดูแลตัวฉันอีกต่างหาก แต่ยังดีที่บางครั้งเมื่อประสิทธิภาพในตัวฉันเริ่มหย่อนยาน เขาถึงคิดจะดูแลและเห็นใจฉันบ้าง


เพื่ออะไรหรือ?

ก็เพื่อให้ใบหน้าของฉันดูสดชื่นและคมคายขึ้นมา และสามารถรับงานหนัก ๆ จากผู้ชายเหล่านั้นอีกครั้งหนึ่ง

ฉันเริ่มปลงกับชีวิต ปลงกับอาชีพนี้ จากอาชีพบริการอันข่มขื่นและไม่มีใครให้ความสำคัญ โลกนี้ยังมีความยุติธรรมบ้างหรือไม่ เป็นไปได้ใหมที่วันหนึ่ง ฉันจะกลายมาเป็นผู้กระทำ ไม่ใช่ผู้ถูกกระทำอย่างเช่นทุกวันนี้

...แต่แล้วชายผู้เป็นเจ้านายก็ปลุกฉันจากภวังค์ความคิดที่ไม่อาจเป็นไปได้

ไม่มีบทสนทนาใด ๆ ระหว่างฉันกับเขา มีเพียงผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับจากฉันเท่านั้น เป็นเพียงสายใยบาง ๆ ที่ทำให้เขายังคงเก็บฉันไว้ต่อไป แล้วเขาก็หยิบยื่นฉันให้กับชายคนอื่นอีกเช่นเคย

เพียงแต่เช้าวันนี้เป็นเด็กผู้ชายอายุเพียง 5 ขวบเท่านั้น !!!

ฉันแปลกใจว่าทำไมวันนี้เขาถึงกล้ารับแขกที่อายุน้อยเช่นนี้ แม้ฉันจะผ่านผู้ชายมามาก แต่คุณธรรมในใจมันยังคงฟ้องในใจว่านี้มันอันตรายเกินไปที่จะทำในสิ่งนี้ ฉันอาจทำลายอนาคตเด็กคนหนึ่งที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ “พ่อ แม่ ของเด็กละ” ฉันเริ่มคิด ความคิดกับสิ่งที่ต้องทำช่างขัดแย้งอย่างสิ้นเชิง ฉันทำไม่ได้ ฉันบอกกับตัวเอง


แต่ไม่ได้!! ฉันไม่สามารถบังคับควบคุมชีวิตฉันได้ เพราะเขาคนนั้น กำลังมองมาที่ฉัน สายตาของเขาราวกับบอกฉันว่า “เธอไม่อาจปฏิเสธสิ่งนี้ได้” และแน่นอนแม้ไม่เต็มใจทำ แต่ฉันก็ต้องทำ อย่างมิอาจขัดขืน---

เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเมื่อฉันเริ่มลงมือ เด็กชายคนนั้นดิ้นราวกับว่าไม่เคยผ่านประสบการณ์อย่างนี้มาก่อน ฉันตกใจเช่นกัน เพราะฉันก็ไม่เคยเจอเด็กขนาดนี้ ฉันผงะห่างจากเด็กคนนั้น เขาเริ่มสงบลงทำให้ฉันลดความกังวลพอที่จะเริ่มลงมือต่อได้ ฉันเริ่มเคลื่อนตัวเข้าหาเขาอย่างช้า ๆ โดยพยายามไม่ให้เขาตกใจกลัว

เขามองฉัน สายตาเราสองกระทบกันผ่านกระจกบานใหญ่ที่ติดอยู่ริมฝาผนังห้อง

เป็นครั้งแรกที่เราสบตากัน แววตาของเขายังไม่คลายความหวาดระแวงแม้แต่น้อย “ทำไมเราต้องเจอเหตุการณ์อย่างนี้ด้วย” ฉันรำพึงในใจ ก่อนจะรวบรวมความกล้าที่จะทำหน้าที่ให้ลุล่วง

แต่ความพยายามของฉันก็ถูกยับยั้งด้วยรอยน้ำตาที่ไหลอาบลงบนสองแก้มของเด็กชาย เป็นน้ำตาแห่งความสิ้นหวัง สองตาที่มองมายังฉันราวกับอ้อนวอนว่าให้ฉันหยุดการกระทำนี้ ฉันชะงัก ไม่มีคำพูดใด ๆ เหมือนกับว่าโลกทั้งโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ....

....แต่ทุกอย่างก็จบลงด้วยคำพูดของเจ้านายฉัน

“ไว้ค่อยมาตัดใหม่ละกันครับ สงสัยเด็กยังไม่เคยตัดผม เลยกลัว ดูสิร้องให้ใหญ่แล้ว”



ฉันยิ้ม รอยยิ้มของฉันไม่มีความหมายใดแอบแฝง...