วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551

เสียงปืนแตก อีกสักกี่ครั้งหนอ ?


เสียงปืนแตก ตอนรับการมาเยือนของเช้าวันที่ 2 กันยายน ขณะที่คนไทยหลายคนกำลังหลับสบายใต้ผ้าห่มอุ่นในที่นอนของตัวเอง แต่ในเวลาเดียวกัน คนไทยอีกกลุ่มหนึ่งกำลังใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย

เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างคนสองกลุ่ม สองความคิด สองอุดมการณ์ มีให้พบเห็นบ่อย ๆ ในบ้านเมืองของเรา ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่งที่คนไทยต้องฆ่าฟันกันเอง ผมรู้สึกสลดใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อตื่นขึ้นมาพบกับข่าวการบาดเจ็บ และมีการทำร้ายร่างกายกันจนกระทั้งเป็นเหตุให้มีคนเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว กี่ครั้งแล้วที่เราคนไทยต้องสูญเสียจากการเมือง สูญเสียจากผลประโยชน์ และความต้องการของคนบางกลุ่มการปฏิวัตินั้นเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า หรือว่าเรากำลังเรียนรู้ประวัติศาสตร์เพื่อย่ำอยู่ในความเจ็บปวดเดิม ๆ สิ่งเหล่านั้นที่เกิดขึ้นบนเส้นทางแห่งประชาธิปไตยของประเทศไทย ไม่ได้สอนอะไรเราเลยหรือ ?

ตั้งแต่เริ่มมีการปฏิรูปการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ในปี 2475 นั้น การเมืองไทยเหมือนกับย่ำอยู่กับทีมาโดยตลอด การพยายามปฏิวัติครั้งแรกเกิดขึ้นตั้งแต่ที่ประเทศไทยปฏิรูปการปกครองไม่ถึงปี แต่ไม่สำเร็จจึงถูกเรียกว่า “กบฏบวรเดช” และอีกหลายต่อหลายครั้งที่มีการ ปฏิวัติและการทำรัฐประหารอีกมากมาย เหตุการณ์เหล่านั้นทำให้เกิดการสูญเสียเลือดเนื้อของคนไทยด้วยกัน และมันยังยืนยันความไม่ก้าวหน้าทางประชาธิปไตยของประเทศไทย

และวันนี้ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่ง ที่ยืนยันได้ว่าการเมืองไทยนั้นเป็นเครื่องมือหากินของคนบางกลุ่มจริงๆ ผมไม่รู้ว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างนี้ไปอีกกี่ยุคกี่สมัย หรือต้องเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ได้ยังอยู่ในใจของคนไทย เมื่อใดที่นักการเมืองไทยจะตระหนักในภาระหน้าที่ ที่แท้จริงของตนเขาเหล่านั้นจะรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาทำอยู่นั้นได้เป็นการทำลายประเทศชาติและบ้านเมือง รวมไปถึงระบอบประชาธิปไตยที่คนไทยส่วนหนึ่งเสียเลือดเสียเนื้อก่อนที่จะได้มันมา พวกเขากำลังทำให้คุณค่าเหล่านั้นหมดสิ้นไป เพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของพวกเขา

ผมคงเป็นคนหนึ่งที่ได้เพียงแค่ทำในส่วนหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด มันอาจไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากมาย แต่ผมภูมิใจที่ไม่เป็นส่วนหนึ่งในเครื่องมือทางการเมืองของใครบางคน เราคนไทยทุกคนอาจจะเป็นส่วนเล็กในระบอบประชาธิปไตย แต่ว่าหากไม่มีส่วนเล็กน้อยเหล่านี้ ไฉนเลยจะมีจุดที่ใหญ่ขึ้นมาได้ ถ้าวันนี้เพียงแต่เรามีจิตสำนึกตระหนักในหน้าที่ของตน และมีสติในการตรึกตรองก่อนที่จะทำสิ่งใดลงไป ผมเชื่อว่าเหตุการณ์สูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่ามันคงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะเริ่ม “ปฏิวัติตัวตน” ของเราก่อนที่เราจะคิดปฏิวัติประเทศชาติ...

7 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

สวัสดีจ๊ะแม็ก

เข้ามาอ่านอีกครั้งจ๊ะ หลังจากที่อ่านในห้องหนอนแล้ว

ความคิดเห็นของเราคงต่างจากของแม็กแน่เลย เพราะเราคิดว่า การเดินขบวน การประท้วง การชุมนุมยังเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี แต่ต้องไม่มีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง และเป็นไปอย่างสงบ

แม้แต่การปฏิวัติ บางครั้งเราก็ยังมองว่าเป็นความเสียสละและกล้าหาญด้วยซ้ำไป (แต่การปฏิวัติในอดีตที่ไม่ควรมีก็เยอะนะ) เพราะถ้าพลาดนั่นหมายถึงชีวิต เช่น พลเอกฉลาดฯ ที่ถูกประหารชีวิต และแม้ว่าจะปฏิวัติสำเร็จก็มีแต่เสียกับเสีย ทั้งเสียงก่นด่า เสียงประนาม เราว่ามันไม่คุ้มเลย แม็กว่ามั้ย

วันหน้าคงได้คุยกับแม็กเรื่องการเมืองอีกนะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นนะครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เขียนดี


มีแต่คนชม

555

แฟนคลับ

-*-

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

สุดยอดไปเลย กับ บทความนี้ โดนใจจริงๆเรย

I'Mc: กล่าวว่า...

ขอบใจ ปาม ที่เข้ามาอ่าน...

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไม่น่าเชื่อ วันนี้คงจะเป็นวันประวัติศาสตร์อีกวันนึง ที่พวกประชาชนโดนคนผู้มีอาวุธครบมือทำร้าย ไม่รู้เนอะ!!ที่คนไทยจะต้องเสียชีวิตกับเหตุการณ์นี้อีกกี่คนต้องทนกับคนบางพวกเอาแต่ได้ และคอยช่วยคนผิดให้เป็นคนถูกให้ได้ พูดไปแร้วรู้สึกอยากจะส่งบทความนี้ไปให้คนหลายๆคนอ่านจริงๆๆเรยอ่ะ

I'Mc: กล่าวว่า...

การเมืองไทยมันก็วนเวียนเป็น วัฏจักร อย่างนี้แหละ
ไม่มีก้าวไปข้างหน้าเลย สงสารคนที่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง อะไรที่มันมากเกินไปมักจะไม่ดีเสมอนะปาม ...