วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ใบไม้ร่วงหล่น เธอคนนั้นหล่นหาย…

สายลมพลิ้ว ริมแม่น้ำบัตซึ นำพาความรู้สึกเหงาเข้ามาอย่างจับใจ สายน้ำยังคงนิ่งสงบใบไม้ร่วงหล่น ปลิวกระจายไปทั่วแผ่นน้ำ บ่งบอกการมาเยือนของฤดูใบไม้ผลิ ฉันยังคงยืนอยู่บนสะพาน อะเบคคุ ซึ่งเชื่อมระหว่างสองฝากฝั่งแม่น้ำ บัตซึ

ด้านหนึ่งเป็นหมู่บ้าน โฮะริ ซึ่งก็มีความหมายเช่นนั้นจริง ๆ เพราะหมู่บ้านนี้ถูกล้อมรอบไปด้วย คู ที่ถูกขุดเชื่อมกับแม่น้ำบัตซึ เพื่อนำน้ำไปทำการเกษตรในหมู่บ้าน ส่วนอีกหมู่บ้านหนึ่งเป็นหมู่บ้านของฉัน ชื่อว่า ฮิบะจิ ซึ่งก็ได้มาจากการที่คนในหมู่บ้านทำอาชีพเผ่าถ่าน จึงทำให้หมู่บ้านของฉันมีความหมายว่า ที่ตักถ่าน ฉันชอบความหมายของมัน

ฉันชอบสะพาน อะเบคคุ แห่งนี้ เพราะมันเป็นเหมือนจิตวิญญาณของคนทั้งสองหมู่บ้าน มันคือที่ ที่สองหมู่บ้านใช้ในการไปมาหาสู่ และการแลกเปลี่ยนสิ่งของ ต่าง ๆ แต่ที่ชอบที่สุดคือ ตำนานที่เล่าขานถึงที่มาของชื่อ อะเบคคุ มีเรื่องเล่าว่า สะพานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นหลังจากการสูญเสียของคนทั้งสองหมู่บ้าน เนื่องมาจาก ชาย หญิง คู่หนึ่งที่แอบหลงรักกัน ทั้งสองอยู่คนละหมู่บ้าน ในสมัยก่อนยังไม่มีสะพาน และคนทั้งสองหมู่บ้านนี้ก็ไม่ยอมไปมาหาสู่ และพูดคุยกันเลย เหตุผลก็เพราะว่า ทะเลาะกันเรื่องการสร้างสะพาน

หมู่บ้าน โฮะริ บอกว่าให้หมู่บ้าน ฮิบะจิ เป็นคนเริ่มสร้างก่อนจากด้านล่าง แล้วพวกเขาจะสร้างด้านบน แต่หมู่บ้าน ฮิบะจิ ไม่ยอม บอกว่า พวกเขาจะสร้างด้านบนของสะพาน ให้หมู่บ้าน โฮะริ ลงมือสร้างก่อน เพราะหมู่บ้านโฮะริ ใช้ประโยชน์จากแม่น้ำมากกว่า จนในที่สุดก็ตกลงกันไม่ได้ เลยไม่มีใครลงมือสร้างสะพาน

และเมื่อชาย หญิงคู่นั้นรักกันเลยทำให้ถูกครอบครัว และคนในหมู่บ้านกีดกันจนในที่สุดทั้งคู่ตัดสินใจจบชีวิตของพวกเขา ณ แม่น้ำแห่งนี้

แม้วันเวลาจะล่วงเลยมานานแล้ว และตำนานแห่งความจริงนั้น นับวันจะถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา แต่สิ่งที่หลงเหลือมาจากเหตุการณ์ที่แสนเจ็บปวดก็คือ ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนทั้งสองหมู่บ้าน

คงเหมือนกับที่ใครบางคนพูดไว้ ว่า “หลังพายุฝน ท้องฟ้าจะงดงามเสมอ”

ใบไม้ยังคง ร่วงหล่น... และฉันยังคงยืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้

ทุกครั้งเมื่อฉันคิดถึง ตำนานนี้ ฉันก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึง โทจิ เราเป็นเหมือนกับตำนานนี้ แต่ต่างกันตรงที่ฉันและเขาไม่ได้ถูกกีดกันในเรื่องของความรัก นั้นคงเป็นเพราะคู่รักในตำนานสองคนนั้น ที่ทำให้คนทั้งสองหมู่บ้านคืนดีกันจึงทำให้คนในรุ่นหลังอย่างเราไม่ต้องถูกความกำแพงแห่งความชิงชังขวางกั้นเอาไว้

ฉันและโทจิ มักจะมายืนดูดวงอาทิตย์ ยามที่มันลาลับขอบฟ้าที่นี้เป็นประจำ ทุกครั้งที่ฉันจ้องมองมันพร้อมกับเขาทำให้หัวใจฉันอบอุ่น เหมือนกับแสงอุ่น ๆ ของ ดวงอาทิตย์ยามลับขอบฟ้า เขาจะโอบไหลฉันไว้ทุกครั้ง เหมือนกับกลัวว่าสายลมอ่อน ๆ ยามเย็นที่ลัดเลาะแม่น้ำแห่งนี้ จะพัดพาฉัน ไปจากเขา

และที่นี่ “คำสัญญา” ของสองเราได้เกิดขึ้น...

สงครามได้พรากเราสองจากกัน คงเหลือไว้เพียง สายแห่งความสัมพันธ์ ที่เรียกว่า “คำสัญญา” ซึ่งนับวันมันจะยิ่ง บางลง ๆ ทุกขณะ ฉันไม่เคยล่วงรู้ถึงเหตุผลของสงครามเลยว่า เพราะเหตุไรสงครามจึงต้องเกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่มันไม่เคยให้สิ่งดีกับใครเลยไม่ว่าจะเป็น ผู้แพ้ หรือ ผู้ชนะ หรือแม้กระทั่ง ทั้ง ฉัน และเขา ผลของมันช่างปวดร้าวซะเหลือเกิน...

ฉันหลับตาลง หวังว่าการลืมตาอีกครั้งจะมีเขาปรากฎอยู่ตรงหน้า พร้อมกับคำสัญญาที่เราให้ไว้ต่อกัน หากแต่ว่าความจริงช่างต่างจากความฝัน ฉันไม่กล้าที่จะลืมตาขึ้นมาดูภาพแห่งความเป็นจริงที่อยู่เบื่องหน้า ความเป็นจริงที่ฉันเฝ้ารอ และไม่เคยรู้เลยว่ามันจะเป็นเช่นไรเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง

แสงอาทิตย์ยามเย็นตกกระทบแม่น้ำ บัตสึ สลับกับใบไม้แห้งเหนือผิวน้ำ ยิ่งทำให้ฉันหวาดหวั่น ความหวังของฉันคงลาลับไปพร้อมกับแสงสุดท้ายของวันแห่งคำสัญญานี้

ทำไมดวงอาทิตย์วันนี้ช่างดูเศร้าหมองเสียเหลือเกิน หรือว่า ดวงอาทิตย์วันนี้ก็มองมายัง ฉัน ก่อนมันจะลาลับเช่นกัน...

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

romace มักๆ
ขนาดแค่เรื่องราวสั้นๆยังสื่อความหมายได้ดีขนาดนี้

สู้ๆ ทำงานต่อไปและทำงานเขียนดีๆต่อไปน้าคะ



from
n'NH