วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551

แค่ เครื่องมือสนองกิเลส...

คุณรู้จักฉันดี...

ในชีวิตคุณเคยผ่านฉันมาแล้วทั้งนั้น โดยเฉพาะผู้ชายทุกคน จะต้องมีประสบการณ์ร่วมกับฉันมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายในชาติใด ภาษาไหน ก็ล้วนมีประสบการณ์ร่วมกับฉันมาแล้วทั้งนั้น

และแน่นอน ผู้ที่นำพาฉันมาพบเจอพวกผู้ชายเหล่านั้น ก็เป็นผู้ชายที่มีผลประโยชน์ในตัวฉันอีกเช่นกัน พวกเขาไม่ค่อยใสใจในความรู้สึกฉัน ว่าฉันจะคิดอะไร เป็นยังไงนั้นยังไม่พอ ผู้ที่ได้ผลประโยชน์จากฉันยังร่วมใช้ฉัน ไม่ต่างกับผู้ชายเหล่านั้น เขาใช้ฉันอย่างไม่ยั้งคิด มิหนำซ้ำยังไม่ค่อยดูแลตัวฉันอีกต่างหาก แต่ยังดีที่บางครั้งเมื่อประสิทธิภาพในตัวฉันเริ่มหย่อนยาน เขาถึงคิดจะดูแลและเห็นใจฉันบ้าง


เพื่ออะไรหรือ?

ก็เพื่อให้ใบหน้าของฉันดูสดชื่นและคมคายขึ้นมา และสามารถรับงานหนัก ๆ จากผู้ชายเหล่านั้นอีกครั้งหนึ่ง

ฉันเริ่มปลงกับชีวิต ปลงกับอาชีพนี้ จากอาชีพบริการอันข่มขื่นและไม่มีใครให้ความสำคัญ โลกนี้ยังมีความยุติธรรมบ้างหรือไม่ เป็นไปได้ใหมที่วันหนึ่ง ฉันจะกลายมาเป็นผู้กระทำ ไม่ใช่ผู้ถูกกระทำอย่างเช่นทุกวันนี้

...แต่แล้วชายผู้เป็นเจ้านายก็ปลุกฉันจากภวังค์ความคิดที่ไม่อาจเป็นไปได้

ไม่มีบทสนทนาใด ๆ ระหว่างฉันกับเขา มีเพียงผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับจากฉันเท่านั้น เป็นเพียงสายใยบาง ๆ ที่ทำให้เขายังคงเก็บฉันไว้ต่อไป แล้วเขาก็หยิบยื่นฉันให้กับชายคนอื่นอีกเช่นเคย

เพียงแต่เช้าวันนี้เป็นเด็กผู้ชายอายุเพียง 5 ขวบเท่านั้น !!!

ฉันแปลกใจว่าทำไมวันนี้เขาถึงกล้ารับแขกที่อายุน้อยเช่นนี้ แม้ฉันจะผ่านผู้ชายมามาก แต่คุณธรรมในใจมันยังคงฟ้องในใจว่านี้มันอันตรายเกินไปที่จะทำในสิ่งนี้ ฉันอาจทำลายอนาคตเด็กคนหนึ่งที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ “พ่อ แม่ ของเด็กละ” ฉันเริ่มคิด ความคิดกับสิ่งที่ต้องทำช่างขัดแย้งอย่างสิ้นเชิง ฉันทำไม่ได้ ฉันบอกกับตัวเอง


แต่ไม่ได้!! ฉันไม่สามารถบังคับควบคุมชีวิตฉันได้ เพราะเขาคนนั้น กำลังมองมาที่ฉัน สายตาของเขาราวกับบอกฉันว่า “เธอไม่อาจปฏิเสธสิ่งนี้ได้” และแน่นอนแม้ไม่เต็มใจทำ แต่ฉันก็ต้องทำ อย่างมิอาจขัดขืน---

เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเมื่อฉันเริ่มลงมือ เด็กชายคนนั้นดิ้นราวกับว่าไม่เคยผ่านประสบการณ์อย่างนี้มาก่อน ฉันตกใจเช่นกัน เพราะฉันก็ไม่เคยเจอเด็กขนาดนี้ ฉันผงะห่างจากเด็กคนนั้น เขาเริ่มสงบลงทำให้ฉันลดความกังวลพอที่จะเริ่มลงมือต่อได้ ฉันเริ่มเคลื่อนตัวเข้าหาเขาอย่างช้า ๆ โดยพยายามไม่ให้เขาตกใจกลัว

เขามองฉัน สายตาเราสองกระทบกันผ่านกระจกบานใหญ่ที่ติดอยู่ริมฝาผนังห้อง

เป็นครั้งแรกที่เราสบตากัน แววตาของเขายังไม่คลายความหวาดระแวงแม้แต่น้อย “ทำไมเราต้องเจอเหตุการณ์อย่างนี้ด้วย” ฉันรำพึงในใจ ก่อนจะรวบรวมความกล้าที่จะทำหน้าที่ให้ลุล่วง

แต่ความพยายามของฉันก็ถูกยับยั้งด้วยรอยน้ำตาที่ไหลอาบลงบนสองแก้มของเด็กชาย เป็นน้ำตาแห่งความสิ้นหวัง สองตาที่มองมายังฉันราวกับอ้อนวอนว่าให้ฉันหยุดการกระทำนี้ ฉันชะงัก ไม่มีคำพูดใด ๆ เหมือนกับว่าโลกทั้งโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ....

....แต่ทุกอย่างก็จบลงด้วยคำพูดของเจ้านายฉัน

“ไว้ค่อยมาตัดใหม่ละกันครับ สงสัยเด็กยังไม่เคยตัดผม เลยกลัว ดูสิร้องให้ใหญ่แล้ว”



ฉันยิ้ม รอยยิ้มของฉันไม่มีความหมายใดแอบแฝง...

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เฮ่อ! อ่านแล้วเราคิดไปไกลเลยนะแม็ค จินตนาการว่าตอนเขียนนี่คนเขียนก็ต้องคิดเหมือนกันแง้มๆ เลย
ว่าแต่เนื้อเรื่องโอเคนะชวนให้ติดตามดี พออ่านจบโล่งอกหน่อยไม่ใช่อย่งที่เราคิด

ชอบจ๊ะ หนอนหม่อน